กรุงเทพฯ--2 เม.ย.--กรมส่งเสริมสหกรณ์
หลังไวรัสโควิด – 19 ระบาด กระทบต่อรายได้ของสมาชิกและการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ รมช.มนัญญาสั่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์และสหกรณ์ทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิค – 19 ระบาด คาดรายได้สมาชิกสหกรณ์ลดลง ธุรกิจสหกรณ์หยุดชะงัก ประสานสหกรณ์ผ่อนผันการชำระหนี้และปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้สมาชิก ให้มีเงินเหลือใช้จ่ายในครอบครัว พร้อมเจรจาธ.ก.ส. ขยายเวลาชำระหนี้ให้กับสหกรณ์ เพื่อให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและสามารถดูแลการประกอบอาชีพของสมาชิก จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวถึงมาตรการช่วยเหลือ บรรเทาภาระหนี้สินของสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ประชาชนมีรายได้ลดลง และไม่เพียงพอต่อการครองชีพ ซึ่งสหกรณ์ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทุกภาคส่วน ปัจจุบันมีสหกรณ์ 6,579 แห่ง สมาชิกกว่า 11 ล้านคน เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 3,453 สหกรณ์ มีสมาชิกที่กู้ยืมเงินจากสหกรณ์เพื่อไปประกอบอาชีพทางการเกษตร 1.035 ล้านคน จำนวนเงิน 178,473.04 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ให้สมาชิกกู้ยืม ส่วนหนึ่งมาจากทุนของสหกรณ์เอง และบางสหกรณ์กู้ยืมมาจากแหล่งเงินทุนภายนอก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) กองทุนพัฒนาสหกรณ์ และสถาบันการเงินอื่น
สหกรณ์นอกภาคการเกษตร (ออมทรัพย์ เครดิตยูเนี่ยน บริการ และร้านค้า) 3,126 สหกรณ์ มีสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 600 แห่ง เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการณ์และรัฐวิสาหกิจ สมาชิก 188,700 ราย วงเงินกู้ 122,807 ล้านบาท สำหรับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีจำนวน 36 แห่ง สมาชิก 36,500 ราย วงเงินกู้ 600 ล้านบาท และสหกรณ์เดินรถซึ่งเป็นสหกรณ์บริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งมีจำนวน 230 แห่ง สมาชิก 100,207 ราย มีการให้เงินกู้ยืมแก่สมาชิกรวม 1,444.85 ล้านบาท
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์มีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระชำระหนี้ให้แก่สมาชิกสหกรณ์และสหกรณ์ โดยออกเป็นประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ ให้สหกรณ์ใช้เป็นแนวทางในการ บรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด – 19 ในขณะนี้ โดยขอความร่วมมือสหกรณ์ผ่อนผันการชำระหนี้ให้กับสมาชิก ทั้งขยายเวลาการชำระหนี้ การพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่วนการชำระค่าหุ้นของสมาชิก ขอให้ปรับลดหรืองดส่งค่าหุ้นรายเดือนเป็นการชั่วคราว หรืองดหักส่งค่าหุ้นตามส่วนของเงินกู้ จนกว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
ส่วนมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระหนี้สินในส่วนของสหกรณ์ มี 3 แนวทาง ได้แก่ สหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ประสานขอความร่วมมือ ธ.ก.ส. ผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ โดยขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้สหกรณ์ ไม่เกิน 20 ปี ปลอดชำระต้นเงิน 3 ปีแรก และขอสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR-1 ต่อปี หากสหกรณ์ใด มีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว สามารถติดต่อ ธ.ก.ส. สาขาที่สหกรณ์กู้ยืมเงิน
สำหรับสหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ให้ขยายเวลาการชำระหนี้ได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งสหกรณ์จะต้องผ่อนผันขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้แก่สมาชิกผู้กู้เงินจากสหกรณ์เช่นเดียวกัน ส่วนกลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จะได้รับการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระออกไปอีก 1 ปี โดยขยายเวลาชำระหนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และกลุ่มเกษตรกรจะต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้ งดคิดดอกเบี้ยและค่าปรับกับสมาชิกด้วย ซึ่งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่จะขอขยายเวลาการชำระหนี้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัด
ทั้งนี้ คาดว่าทุกมาตรการจะช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้สินให้กับสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ในช่วงสถานการณ์ การระบาดของโรคโควิด – 19 โดยคาดว่าสหกรณ์ภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร จำนวน 2,660 แห่ง ที่ขยายเวลาการชำระหนี้หรือพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว สมาชิกจะได้รับประโยชน์ 5.79 ล้านคน ต้นเงินกู้จำนวน 1,296,843.76 ล้านบาท มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง ร้อยละ 0.50 คิดเป็นมูลค่า 6,480 ล้านบาท ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่สมาชิกในครั้งนี้ จะช่วยให้สมาชิกสหกรณ์ได้มีเงินเหลือจากการที่สหกรณ์ขยายระยะเวลาชำระหนี้หรือพักหนี้เป็นการชั่วคราวและลดดอกเบี้ยเงินกู้ เฉลี่ยรายละ 19,720 บาทต่อเดือน และมีเงินเหลือจากการปรับลดค่าหุ้นรายเดือนหรืองดส่งค่าหุ้นตามส่วนของเงินกู้อีกเดือนละประมาณ 430 บาท ซึ่งสมาชิกจะมีเงินเหลือใช้จ่ายในครัวเรือน เฉลี่ยเดือนละ 20,150 บาท
สำหรับการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้สหกรณ์การเกษตรที่เป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส.และได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คาดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ผิดนัดของสหกรณ์ได้ 710 แห่ง มูลหนี้ 48,800 ล้านบาท ส่วนสหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ 917 แห่ง ที่ได้รับการขยายเวลาชำระหนี้ จะมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และส่งผลให้สมาชิกสหกรณ์ 108,740 ราย ได้รับผ่อนผันการชำระหนี้รายละ 24,000 บาท และกลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 1,392 แห่ง ที่ได้รับการขยายเวลาชำระหนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จะมีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่สมาชิก 704.98 ล้านบาท ซึ่งทุกมาตรการจะช่วยผ่อนปรนภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้มีเงินสำหรับใช้จ่ายในการดำรงชีพและนำไปลงทุนประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันและส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ซึ่งทุกมาตรการที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ออกเป็นคำแนะนำไปยังสหกรณ์นั้น แต่ละสหกรณ์สามารถเลือกใช้และนำไปปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินงานของสหกรณ์ เพื่อร่วมกันดูแลความเป็นอยู่และแบ่งเบาภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์ จนกว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติต่อไป