กรุงเทพฯ--9 เม.ย.--ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยถึงมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ซึ่งกำลังรับมือกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นปกติ และยังมีความเสี่ยงมากขึ้นตามความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมประเด็นสำคัญ และมีมุมมองต่อมาตรการรอบใหม่ ดังนี้
4 มาตรการเพิ่มเติม...เน้นเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ ดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้เอกชน เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19
เมื่อวันที่ 7
เม.ย. 2563 ธปท.
ประกาศมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งโดยหลักๆ แล้วจะเป็นการบรรเทาปัญหาสภาพคล่องและเสริมสภาพคล่องระยะสั้น
ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มรุนแรงและต้องใช้เวลาอีกระยะในการคลี่คลายสถานการณ์
นอกจากนี้ ธปท. ยังมีมาตรการดูแลเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้เอกชนเพิ่มเติม เพื่อให้ช่องทางการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ของบริษัทที่มีคุณภาพยังทำงานได้ต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มาตรการดังกล่าวถือว่ามีกรอบมูลค่าขนาดใหญ่เข้าใกล้ระดับ 1 ล้านล้านบาท ขณะที่ความรวดเร็วของการผลักดันมาตรการต่างๆ ในทางปฏิบัตินั้น อาจแปรผันตามเงื่อนไขของแต่ละมาตรการ รวมถึงบรรยากาศเศรษฐกิจในภาพรวม กล่าวคือมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loans) สำหรับธุรกิจ SMEs หากพิจารณาจากในทางทฤษฎี และประเมินบนวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมสำหรับลูกค้า SMEs โดยเฉลี่ยที่ประมาณ 1.5 ล้านบาทต่อราย จะมีจำนวน SMEs ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการนี้ประมาณ 3.3 แสนราย อันจะทำให้ธุรกิจ SMEs จำนวนไม่น้อย มีสภาพคล่องไปต่อลมหายใจทางธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการรักษาสภาพการจ้างงานให้กับลูกจ้างบางส่วนด้วย[3]
อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าของการเบิกใช้และการอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมในทางปฏิบัติ ยังขึ้นอยู่กับอีกหลายเงื่อนไขด้วยเช่นกัน ทั้งความพร้อมของลูกหนี้ และความสามารถในการรับส่วนสูญเสียจากการปล่อยสินเชื่อเพิ่มของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งที่แตกต่างกัน โดยฝั่งลูกหนี้จะได้สินเชื่อเพิ่มหรือไม่ หรือมากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับ ความจำเป็นที่แท้จริงเชิงธุรกิจ ประวัติและข้อมูลเครดิตต่างๆ วงเงินสินเชื่อเดิมของกิจการแต่ละราย ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้คืนในอนาคต ขณะที่ ฝั่งธนาคารพาณิชย์ ก็จะต้องประเมินความสามารถในการรับมือกับส่วนสูญเสีย แม้ว่าจะมีกระทรวงการคลังช่วยรับในบางส่วนในกรณีที่สินเชื่อเสริมสภาพคล่องปล่อยใหม่ดังกล่าวกลายเป็นสินเชื่อด้อยคุณภาพในระหว่างช่วงระยะเวลาของมาตรการ เช่นเดียวกับความพร้อมด้านเงินกองทุนในการรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจระยะนี้ รวมถึงสินเชื่อปล่อยใหม่ภายใต้โครงการที่ยังมีส่วนหนึ่งที่ต้องนำไปคำนวณเป็นสินทรัพย์เสี่ยงด้วย
ในส่วนของกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน? (BSF)?นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าแม้กลไกการทำงานของกองทุน BSF ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดปัญหาการระดมทุนเพื่อ Rollover หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนของบริษัทที่มีคุณภาพซึ่งจนถึงสิ้นปี 2563 จะมีหุ้นกู้ระยะยาวดังกล่าว (ไม่นับรวมหุ้นกู้ของธนาคาร) อีกประมาณ 4.63 แสนล้านบาท แต่ความสำเร็จในการระดมทุนใหม่ หรือ Rollover หุ้นกู้ดังกล่าว ยังขึ้นกับความสามารถของกิจการหรือบริษัทในการระดมทุนด้วยตนเองให้ถึงจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนตามเกณฑ์ของกองทุน BSF ตั้งเงื่อนไขไว้ ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตาม ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจส่งผลกระทบทั้งรายได้ของกิจการ และความต้องการลงทุนของนักลงทุนในระยะนี้ ขณะที่ผู้ลงทุนควรตระหนักว่ากลไกของ BSF ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นกลไกค้ำประกันความเสี่ยงจากการลงทุนหุ้นกู้ ดังนั้น นักลงทุนน่าจะยังคงพิจารณาแนวโน้มการดำเนินการจากปัจจัยพื้นฐานของกิจการและปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจอื่นๆ ด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนดังกล่าวได้สำหรับการช่วยลดภาระเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ และการผ่อนคลายหลักเกณฑ์อื่นๆ ได้แก่ การผ่อนเกณฑ์การดำรงอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ให้ต่ำกว่า 100% เป็นการชั่วคราว รวมถึงการปรับการคำนวณน้ำหนักความเสี่ยงของลูกหนี้ที่เข้ารับความช่วยเหลือจากมาตรการ ธปท. คงมีผลในการช่วยแบ่งเบาภาระให้กับสถาบันการเงิน โดยหากยกตัวอย่างการปรับลดเงินนำส่งเข้า FIDF ในครั้งนี้ จะช่วยทำให้ต้นทุนของสถาบันการเงินลดลงประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ในภาวะที่รายรับดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ หดหายไปจากการเดินหน้าโครงการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือน รวมถึงภาระเพิ่มเติมจากมาตรการต่างๆ ในรอบนี้และที่อาจมีตามมาอีกในอนาคต
โดยภาพรวมแล้ว มาตรการที่ ธปท. ออกมาสะท้อนถึงความพยายามและความตั้งใจของทางการที่จะแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด โดยมุ่งเน้นการช่วยเสริมสภาพคล่องของระบบการเงินไทย ควบคู่ไปกับการพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดการเงิน เพื่อให้กลไกการทำงานของระบบการเงินยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ตามปกติ กระนั้นก็ดี ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดผลสัมฤทธิ์ของมาตรการที่เพิ่งออกมาในครั้งนี้ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ อันจะทำให้มองเห็นภาพแนวโน้มเศรษฐกิจหลังจากนี้ชัดเจนขึ้น และมีผลต่อเนื่องมายังความเชื่อมั่นของตลาดและนักลงทุน รวมถึงการประเมินแนวโน้มธุรกิจและความสามารถในการชำระหนี้ของกิจการ โดยในกรณีที่การควบคุมการระบาดของไวรัสฯ เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ก็ย่อมจะทำให้มาตรการเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการของทางการไทยในรอบนี้ มีความคืบหน้าและมีการใช้เม็ดเงินโครงการที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น สุดท้ายแล้ว ก็คงจะส่งผลดีต่อประสิทธิผลในการฟื้นกลไกทางการเงินให้กลับสู่ปกติได้อย่างรวดเร็วสมดังเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อมูลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น
[1] พร้อมกันนี้ ธปท. ได้ผ่อนปรนเกณฑ์การบริหารสภาพคล่องชั่วคราวเพื่อให้ธนาคารสามารถช่วยเหลือสนับสนุนสภาพคล่องให้ลูกหนี้ได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
[2] กระทรวงการคลังชดเชยความเสียหายบางส่วน ไม่เกิน 60-70% ของสินเชื่อที่ปล่อยเพิ่ม กรณีที่หนี้กลายเป็นหนี้เสียเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 2 ปี
[3] และช่วยประคองการจ้างงานได้ประมาณ 4.5-6.8 แสนตำแหน่ง บนสมมติฐานที่ธุรกิจ SMEs จ้างงานในอัตรา 30%-50% จากเดิม