![เจาะภารกิจทีม AIS ROBOTIC LAB ลุยสร้าง หุ่นยนต์ 5G ช่วยหมอดูแลผู้ป่วยโควิด-19]()
กรุงเทพฯ--17 เม.ย.--เอไอเอส
AIS เดินหน้าภารกิจ “
AIS 5G สู้ภัย
โควิด-19” เต็มสูบ นำพลานุภาพ 5G ร่วมแก้วิกฤต ช่วยเหลือคนไทยทุกภาคส่วน เปิดเส้นทางทีม
AIS RO
BOTIC LAB แล็บพัฒนา
หุ่นยนต์ 5G รายแรกรายเดียวในไทย ผู้อยู่เบื้องหลังผลงาน
หุ่นยนต์ 5G ผู้ช่วยคุณหมอ ตัวแรกของประเทศ ที่เชื่อมต่อ
ระบบปฏิบัติการบนเครือข่าย 5G ได้สำเร็จ อันเกิดจากขีดความสามารถของทีมงานหัวกะทิด้านดิจิทัล จาก
AIS NEXT หน่วยงาน Innovation ที่ทุ่มเทออกแบบระบบ 5G Robot Platform ขึ้นเอง ผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยี เครือข่าย การแพทย์ ออกมาเป็น
หุ่นยนต์ทางการแพทย์ 5G RO
BOT FOR CARE ที่สามารถ Customized ให้ตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละโรงพยาบาลได้อีกด้วย
ส่งมอบ
หุ่นยนต์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, สถาบันบำราศนราดูร และกรมแพทย์ทหารเรือ โดย
หุ่นยนต์ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ณ คลินิกและหอผู้ป่วย
โควิด-19 ทำหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจอาการผู้ป่วยภายในห้องพักผู้ป่วย แทนหมอและพยาบาล ช่วยแบ่งเบาภาระ ลดเสี่ยง ลดสัมผัส เซฟแพทย์และพยาบาล โดยขณะนี้ ทีม
AIS RO
BOTIC LAB เร่งเครื่องพัฒนา
หุ่นยนต์ 5G อย่างเต็มกำลัง และมีแผนส่งมอบทั้งหมด จำนวน 23 ตัว ให้กับโรงพยาบาล 22 แห่ง ภายในต้นเดือนพฤษภาคม 2563
ชู “5G ที่จับต้องได้ เพื่อทุกชีวิต” ร่วมพลิกโฉม สร้าง New Normal ให้วงการแพทย์ ด้วยศักยภาพของ 5G มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะนำมาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญต่อการปฏิบัติงานทางการแพทย์ ถือเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน 5G ให้เห็นประโยชน์อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด นั่นคือ การนำ 5G เข้ามาช่วยดูแลรักษาชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น และผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน
นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส กล่าวว่า “ตามที่เอไอเอส ได้ประกาศวิสัยทัศน์ นำศักยภาพเครือข่าย 5G ที่ทรงพลานุภาพ และความรู้ความเชี่ยวชาญของคนเอไอเอส มาร่วมแรงร่วมใจ ช่วยแก้ปัญหา
โควิด-19 เพื่อช่วยเหลือคนไทยและประเทศไทยของเราผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ วันนี้ เราได้ทุ่มสรรพกำลังเครือข่าย 5G ตลอดจนระดมนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์การพัฒนา
หุ่นยนต์ของเอไอเอส จัดตั้งทีมเฉพาะกิจ
AIS RO
BOTIC LAB by
AIS NEXT โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนา
หุ่นยนต์ทางการแพทย์ ทำงานบนเครือข่าย 5G เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับทางการแพทย์ใช้งานจริง
อย่างที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส
โควิด-19 ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ ต้องทำงานอย่างหนัก ในฐานะด่านหน้าที่ต้องรับมือและเผชิญกับความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโดยตรงแล้ว โรงพยาบาลยังประสบปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกัน อย่างเช่น หน้ากากอนามัย, ชุดป้องกันปลอดเชื้อ PPE อันเป็นอุปกรณ์จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์
โจทย์ของทีม
AIS RO
BOTIC LAB ในการพัฒนา
หุ่นยนต์ จึงเริ่มต้นจาก Pain Point นี้ ทำอย่างไร เราจึงจะมีส่วนช่วยในการแบ่งเบาภาระ ลดความเสี่ยงติดเชื้อทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ และมีฟังก์ชันที่ FIT IN ช่วยให้การทำงานของทีมแพทย์สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้น รวมถึงประหยัดงบประมาณในการใช้อุปกรณ์ป้องกันปลอดเชื้อ
AIS RO
BOTIC LAB จึงได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงที่หลากหลาย เข้ามาผสมผสานกับเครือข่าย 5G ภายใต้ระบบประมวลผล
AIS Robot Platform ซึ่งเอไอเอสพัฒนาขึ้นเอง ออกแบบเป็น
หุ่นยนต์ผู้ช่วยคุณหมอ 5G “RO
BOT FOR CARE” ซึ่งมีฟีเจอร์อัจฉริยะ อาทิ
เทคโนโลยีอินฟราเรด ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างแม่นยำ โดยส่งผลข้อมูลผ่านเครือข่าย 5G ไปให้แพทย์ที่ให้การรักษาได้อย่างทันทีเทคโนโลยี 3D Mapping กำหนดแผนที่เส้นทางเดินของ
หุ่นยนต์ ให้เคลื่อนที่เข้าหาผู้ป่วยได้โดยอัตโนมัติ อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และยังสามารถบังคับ
หุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้ตามต้องการผ่านเครือข่าย 5GTelemedicine ระบบปรึกษาทางไกลระหว่างแพทย์และผู้ป่วยผ่านวิดีโอคอล เพื่อให้แพทย์ที่อยู่ด้านนอกห้อง ใช้สมาร์ทดีไวซ์ เชื่อมต่อมาที่ตัว
หุ่นยนต์ เพื่อพูดคุยและดูอาการคนไข้ภายในห้องพักได้ ช่วยหลีกเลี่ยงการเข้ามาสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยตรงได้เทคโนโลยี Cloud computing ในการประมวลผลจัดเก็บข้อมูลการรักษาพยาบาลผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังสามารถเสริมฟีเจอร์ต่างๆ ในตัว
หุ่นยนต์ได้ตามที่แต่ละ รพ. ต้องการ อาทิ ตรวจวัดค่าออกซิเจนในเลือด, ส่งยาให้ผู้ป่วยถึงเตียง, บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือเคลื่อนที่ เป็นต้น
โดยหัวใจสำคัญของ
หุ่นยนต์ คือ การปฏิบัติงานบนเครือข่าย 5G เพื่อใช้ในการประมวลผลในหลายส่วน อาทิ ค่าอุณหภูมิและ face signature ของผู้ถูกตรวจจะถูกถ่ายและส่งผ่าน 5G ไปเก็บที่
AIS DATA CENTER, สามารถ video call จากศูนย์ควบคุมมาที่
หุ่นยนต์เพื่อให้ความช่วยเหลือต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติการ, สามารถอัพเดทความสามารถใหม่ๆ ให้กับ
หุ่นยนต์จากศูนย์ควบคุมได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อขับเคลื่อนการทำงานบนเครือข่าย
AIS 5G ที่มีความเร็วสูง (High Speed) การตอบสนองต่อการสั่งงานที่รวดเร็ว มีความหน่วงต่ำ (Low Latency) พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ที่หลากหลาย (IoT Connectivity) ทำให้
หุ่นยนต์พร้อมปฏิบัติงานเข้าดูแลผู้ป่วยทันที การรับส่งข้อมูลระหว่างแพทย์กับ
หุ่นยนต์ก็เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาพยาบาลได้อย่างดี
ในอนาคต ทีม
AIS RO
BOTIC LAB เตรียมพัฒนาขยายขีดความสามารถของ
หุ่นยนต์ให้สามารถรองรับบริการทางการแพทย์ที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ สั่ง
หุ่นยนต์ให้ทำงานผ่านทางเสียง, การทำความสะอาดด้วยตัวเอง ผ่าน Ozone และ UV, ด้วยความสามารถจดจำเส้นทาง และจดจำใบหน้าได้
หุ่นยนต์จะสามารถทำภารกิจอื่นๆ ได้ เช่น การตรวจเยี่ยม, นำทางผู้ป่วยไปรักษาในแผนกต่างๆ อีกทั้ง โลกของ IoT และ 5G ที่จะมีการติดต่อกันเองของอุปกรณ์ต่างๆ ข้อมูลจาก
หุ่นยนต์ และเครื่องมือตรวจวัดที่โรงพยาบาลหรือ Wearable จะนำมาประมวลผลร่วมกัน เช่น เมื่อเกิดความผิดปกติใดๆ ที่ตรวจจับได้จากเครื่องมือวัด
หุ่นยนต์ก็สามารถจะมาเยี่ยมถึงเตียงได้โดยทันที เป็นต้น
ซึ่งเอไอเอส มีประสบการณ์การทดลองทดสอบ 5G ในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งการแพทย์ จึงเชื่อมั่นว่า 5G มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญต่อการปฏิบัติงานทางการแพทย์ และจะเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมแก้ปัญหาพาประเทศก้าวพ้นวิกฤต
โควิด-19 ซึ่งเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำศักยภาพของเทคโนโลยี มาส่งมอบความช่วยเหลือให้กับประชาชนคนไทย และถือเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน 5G อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อร่วมพลิกโฉมและสร้าง New Normal ให้เกิดขึ้นในวงการแพทย์ไทยในอนาคตอีกด้วย”
นายวสิษฐ์กล่าว ด้าน นายแพทย์สุกรม ชีเจริญ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี ที่รับตรวจและรักษาผู้ป่วย
โควิด-19 กล่าวว่า “
หุ่นยนต์ RO
BOT FOR CARE สามารถช่วยลดการติดต่อระหว่างคนไข้ติดเชื้อ กับบุคลากรทางการแพทย์ ได้ในสามประเด็นหลักๆ ทั้งในด้านการลดภาระในการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันที่โรงพยาบาลประสบปัญหาขาดแคลนอย่างหน้ากากอนามัย และชุด PPE ซึ่ง
หุ่นยนต์สามารถเข้าไปตรวจวัดเบื้องต้นแทนได้, การลดความเสี่ยงและช่วยสนับสนุนมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ลดการติดต่อใกล้ชิดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และยังสามารถช่วยส่งยาให้กับผู้ป่วยถึงเตียงได้อย่างแม่นยำเพียงแค่ตั้งค่าพิกัด หรือบังคับทางไกล ซึ่งคนไข้ยังสามารถติดต่อสอบถามเมื่อมีข้อสงสัยในการทานยาผ่านกล้อง
หุ่นยนต์ได้ทันที”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “การติดตามและเฝ้าดูอาการผู้ป่วย
โควิด-19 อย่างต่อเนื่องมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอาการทรุดลงและทำการรักษาตามอาการได้อย่างทันท่วงที สิ่งที่ทีมแพทย์และพยายาลทำสม่ำเสมอคือการตรวจวัดอุณหภูมิเป็นระยะๆ ดังนั้น
หุ่นยนต์ RO
BOT FOR CARE ถือว่าสามารถช่วยการทำงานได้อย่างตรงจุด โดยทางโรงพยาบาลได้นำมาใช้งานในการเฝ้าดูอาการผู้ป่วย
โควิด-19 ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิและระดับออกซิเจนในเลือด ซึ่งมีความแม่นยำและช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ”
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า “สำหรับโรงพยาบาลศิริราช จุดที่สำคัญที่สุดคือจุดคัดกรองผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ซึ่งผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญว่า โรงพยาบาลจะรองรับผู้ป่วยในระหว่างที่เข้ามารับการตรวจ ไม่ให้เกิดการติดต่อแพร่เชื้อเพิ่มสู่บุคลากรทางการแพทย์ หรือระหว่างแพทย์สู่ผู้ป่วย และผู้ป่วยสู่ผู้ป่วยด้วยกันเอง ดังนั้น การใช้
หุ่นยนต์ 5G Telemedicine จะช่วยคัดกรองและเพิ่มระยะห่าง เท่ากับเป็นการลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ซึ่งไม่ใช่แค่การใช้ช่วงวิกฤตการณ์ครั้งนี้เท่านั้น แต่ในอนาคตการให้บริการผู้ป่วยด้วย Telemedicine ถือว่ามีประโยชน์และเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพให้กับประชาชน ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล การมีสัญญาณเครือข่ายที่ดี ส่งข้อมูลได้เร็ว ให้ภาพที่คมชัด จะช่วยให้การรักษามีความแม่นยำ เสริมศักยภาพให้การทำงานของแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขมากยิ่งขึ้น”
![]()
![]()