กรุงเทพฯ--22 เม.ย.--แสนสิริ
แสนสิริ รั้งเบอร์หนึ่งอสังหาฯ ต่อเนื่อง โชว์ยอดขายยังพุ่งไม่หยุด โกย 4,200 ลบ. ใน 3สัปดาห์ จากแคมเปญแรงตอบโจทย์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้จริง “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” ล่าสุดปิดการขายอีก 2 โครงการ ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต – เดอะ เบส เพชรเกษมพร้อมเล็งปรับเป้าขายใหม่อีกรอบเป็น 12,000 ล้านบาทในไตรมาส 2
แสนสิริรั้งตำแหน่งผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาฯ ต่อเนื่องปลื้มกระแสตอบรับลูกค้าแรง หลังเปิดแคมเปญ “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” ลูกค้าจองซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว ไม่ต้องมีภาระใดๆ ยาวไปถึง 24 เดือน นำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้ ตัดกังวลใจทั้งในภาวะเศรษฐกิจหรือเรื่องงาน มีเวลาเตรียมตัวสบายๆ ยาวไปถึง 2 ปี ส่งให้เป็นแคมเปญที่ตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้จริงดันยอดขายพุ่งทะลุ 4,200ล้านบาท ใน 3 สัปดาห์ของไตรมาสสองประกอบกับความแข็งแกร่งในการมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และการบริการ รวมถึงดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ยังมีต่อเนื่อง เมื่อรวมกับการที่แสนสิรินำเสนอแคมเปญที่ตอบโจทย์เข้าถึงกลุ่มลูกค้า และตอบรับเรียลดีมานต์ในสถานการณ์นี้ได้อย่างแท้จริง จึงประสบความสำเร็จสูง ทั้งในด้านการเข้าเยี่ยมชมโครงการที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าพร้อมยอดขายที่ประสบความสำเร็จดังกล่าว ยังส่งผลให้ปิดการขายอีก 2 คอนโดมิเนียม- ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต มูลค่าโครงการ 910 ล้านบาท และ เดอะ เบส เพชรเกษมมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาทต่อเนื่องจากผลงานปิดขายไทเกอร์ เลน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ชี้กลุ่มลูกค้าซื้อเก็บจากราคาที่ดีมากและเชื่อมั่นว่าราคาจะสูงขึ้นอีกในอนาคต จากศักยภาพจุดเด่นของทั้งสองโครงการและศักยภาพในทำเลที่ตั้งจ่อคิวปิดการขายอีก6 คอนโดมิเนียมที่ยอดขายพุ่งไปแล้วกว่า 80 – 98%ได้แก่ ดีคอนโด กำแพงแสน,ดีคอนโด หาดใหญ่, ลา กาซิตา หัวหิน, เดอะ เบส สุขุมวิท 50, เดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ และเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 ขณะที่ยอดขายโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว – ทาวน์โฮม สูงขึ้นต่อเนื่องในทุกสัปดาห์ประสบความสำเร็จครอบคลุมโปรดักส์ในทุกเซกเมนต์ รวมทั้งในแนวสูงและแนวราบชี้มีช่องทางขายที่ครอบคลุมและตอบรับความต้องการได้ตรงจุดด้วยMulti-Channelเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อและดันยอดขายให้สูงขึ้นขณะที่ลูกค้ายังเข้าชมโครงการต่อเนื่องจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยสูงสุด ในการเข้าเยี่ยมชมโครงการ ที่คุมเข้มด้วยมาตรการ “Sansiri Care… เพราะเราห่วงใย” ที่พร้อมยกการระดับดูแลเต็มขั้นในทุกสถานการณ์ส่งยอดขายพุ่งทะลุ 4,200 ล้านบาทภายใน 3 สัปดาห์แรกของไตรมาส 2 คิดเป็น 42%จากเป้าขายใหม่ 10,000 ล้านบาท เล็งปรับเป้ายอดขายไตรมาส 2 ใหม่อีกรอบเป็น 12,000 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุขประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRIเปิดเผยว่าแสนสิริประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายจากแคมเปญ “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” ลูกค้าตอบรับแรง จากการที่ เมื่อจองซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว ไม่ต้องมีภาระใดๆ ไปถึง 24 เดือน นำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้ ตัดกังวลใจจากทั้งภาวะเศรษฐกิจหรือการงาน มีเวลาเตรียมตัวสบายๆ ยาวไปถึง 2 ปี ส่งผลให้แคมเปญได้รับการตอบรับที่ดี และมียอดขายพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยสามารถสร้างยอดขายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อีกกว่า 1,700 ล้านบาท รวมกับยอดขายที่ทำได้แล้ว 2,500ล้านบาท ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทมียอดขายในไตรมาส 2 รวมแล้วถึง 4,200 ภายในช่วงระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ของเดือนเมษายนนอกจากนี้ปัจจัยสนับสนุน นอกเหนือจากแคมเปญที่ตอบโจทย์ ยังมาจากกลยุทธ์ความแข็งแกร่ง ในการมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ทั้งในด้านคุณภาพ ดีไซน์ รวมถึงการบริการ หรือ Sansiri Service ในการมอบบริการที่ดีที่สุดทั้งก่อนและหลังการขาย รวมไปถึง LIV-24 ที่ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมงมาตรฐานแสนสิริ พร้อมเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลทุกจุดในโครงการ พร้อมพริวิเล็จมากมายจากแสนสิริ แฟมิลี่ ซึ่งเมื่อรวมกับการส่งมอบแคมเปญที่เข้าใจใน Customer Insightจากสถานการณ์อสังหาฯ ที่กลุ่มลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง ขณะที่มีการตัดสินใจที่มากขึ้น จากสถานการณ์ โควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต บริษัทจึงได้มอบแคมเปญที่สามารถตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ส่งผลให้ได้รับการตอบรับที่ดีและประสบความสำเร็จด้านยอดขายตั้งแต่เริ่มต้นไตรมาส 2
จากความสำเร็จของแคมเปญ ยังส่งผลให้ ปิดการขายเพิ่มเติมอีก 2 คอนโดมิเนียม ต่อจากการปิดการขายโครงการไทเกอร์ เลน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการ ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิตมูลค่าโครงการ 910 ล้านบาท และ เดอะ เบส เพชรเกษมมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเก็บจากเหตุผลด้านราคาที่ดีมากและเชื่อมั่นว่าราคาจะสูงขึ้นอีกในอนาคต ด้วยศักยภาพทั้งในด้านจุดเด่นของตัวโครงการและศักภาพของทำเลที่ตั้ง และความเชื่อมั่นในการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์แสนสิริโดยโครงการดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต ราคาเฉลี่ย 65,000 บาทต่อตารางเมตร มีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าจากการปิดการขาย ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุน ในสัดส่วน 50: 50% มีอัตราผลตอบแทนต่อการปล่อยเช่า หรือ Yield สูงถึงเกือบ 6%และ เดอะ เบส เพชรเกษม ราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตารางเมตร มีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุน ในสัดส่วน 60 : 40 % และมีอัตราผลตอบแทนต่อการปล่อยเช่า หรือYield ถึง 4.5 – 5.5% นอกจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จครอบคลุมโปรดักส์ในทุกเซกเมนต์ ทั้งในแนวสูงและแนวราบ โดยจ่อคิวปิดการขายอีก 6 โครงการคอนโดมิเนียมที่ได้รับการตอบรับที่ดี ได้แก่ดีคอนโด กำแพงแสน มียอดขายแล้ว 98% คาดปิดการขายได้ภายในสัปดาห์หน้า,ดีคอนโด หาดใหญ่ มียอดขายแล้วถึง 80%, ลา กาซิตา หัวหิน มียอดขายดี 85%, เดอะ เบส สุขุมวิท 50 ยอดขาย 80%, เดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ ยอดขาย 85% และเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 มียอดขายแล้ว 80% ในขณะที่ยอดขายโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว – ทาวน์โฮม สูงขึ้นต่อเนื่องในทุกสัปดาห์ และคิดเป็นสัดส่วนถึง 90% จากยอดขายรวม 4,200 ล้านบาทที่ทำได้ในไตรมาส 2
“นอกจากความสำเร็จในการส่งมอบแคมเปญที่เข้าใจและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี ยังมาจากการที่บริษัทรุกการขายในทุกช่องทาง ที่สามารถตอบโจทย์คนอยากมีบ้านในยุคโควิด ด้วย Multi-Channel ซื้อขายครบในทุกช่องทาง ซื้อและเยี่ยมชมโครงการง่ายแค่ปลายนิ้ว ได้แก่ ช่องทางที่1 :Sansiri Virtual Sales Gallery เยี่ยมชมโครงการเสมือนจริงบน www.sansiri.com,แสนสิริ ไลน์ ออฟฟิเชียล ช่องทางที่ 2 : Line Official Account สนในโครงการไหน แชทคุยได้ตลอดที่ @Sansiriplc ช่องทางที่ 3 : Facebook Sansiri PLC เกาะติดทุกข่าวสารทักผ่านinbox ได้เลย ช่องทางที่ 4: Visit Site เยี่ยมชมโครงการแบบ private tourที่ทั้งปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ด้วยความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ที่คุมเข้มด้วยมาตรการ “Sansiri Care… เพราะเราห่วงใย” พร้อมยกการระดับดูแลเต็มขั้นในทุกสถานการณ์ ที่ส่งผลให้ลูกค้ายังเข้าเยี่ยมชมโครงการของแสนสิริต่อเนื่อง ช่องทางที่ 5 : 24 Hrs. Online Bookingจองคอนโดออนไลน์ได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง และช่องทางที่ 6 : Call Centre อยากรู้เรื่องไหน แสนสิริพร้อมดูแล ที่โทร 1685 จากความสำเร็จด้านยอดขายอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงได้พิจารณาปรับเป้าหมายยอดขายไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 12,000ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าจะสามารถก้าวผ่านทุกสถานการณ์ด้วยความแข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน” นายอุทัย กล่าว