กรุงเทพฯ--22 เม.ย.--กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง
ผู้ถือหุ้น บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) โหวตรับมติปันผลเป็นเงินสดอย่างพร้อมเพรียงในอัตรา 0.136 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 เมษายนนี้ กำหนดรับทรัพย์วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ขณะที่ “โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์” ระบุ ธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งโซลาร์ฟาร์ม และลม แนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นใจหนุนรายได้รวมปี 63 โตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 25% รายได้แตะ 9 พันล้านบาท
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล สำหรับงวดปี 2562 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.136 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 1,200 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ยังได้อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท ในส่วนที่ไม่สามารถจัดสรรเพื่อจ่ายหุ้นปันผลได้ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 จำนวน 19,814,818 หุ้น หรือ 4,953,704.50 บาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) ในวันที่ 29 เมษายน 2563 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD)วันที่ 28 เมษายน 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
อีกทั้งยังอนุมัติเพิ่มวงเงินในการออกและเสนอขายหุ้นกู้อีกจำนวน6,000ล้านบาท จากวงเงินเดิมไม่เกิน 9,000 ล้านบาท รวมวงเงินใหม่ไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุไม่เกิน 7ปี
“จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาธุรกิจพลังงานทดแทนและผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี การที่บริษัทฯ จ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นครั้งนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ได้ให้โอกาสและสนับสนุนบริษัทฯด้วยดีเสมอมา ทีมผู้บริหารจะมุ่งทำงานสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับผู้ถือหุ้นทุกท่านอย่างเต็มความสามารถ เราอยากให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจว่าผู้บริหารจะผลักดันธุรกิจในเครือ GUNKULให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพทุกส่วน ถึงแม้สถานการณ์โควิด-19จะแพร่กระจายและมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องโดยได้รับ
ผลกระทบน้อยมาก สำหรับครึ่งปีแรก เท่าที่ดูสถานการณ์โรคในปัจจุบันก็น่าจะดีขึ้นตามลำดับ ฉะนั้น ยังมั่นใจว่า GUNKULยังสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวต่อว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของธุรกิจพลังงานทดแทนที่ดำเนินการอยู่ โดยที่ผ่านมาธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความมั่นคงมากขึ้นจากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงหางานใหม่ๆ เพิ่มเติม และยังคงมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อ ให้ทำให้งานในมือ (order backlog) เพิ่มขึ้น
ประกอบกับปัจจุบันบริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) รวม 650 เมกะวัตต์ และสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้แล้ว 437 เมกะวัตต์ จึงทำให้มั่นใจรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยบริษัทฯ มั่นใจว่ารายได้และกำไรจะเติบโตทุกไตรมาสเมื่อเทียบกับปี2562