กรุงเทพฯ--7 พ.ค.--อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป
บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP ) เดิมคือ บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก(EPCO) พร้อมย้ายหุ้นเทรดกลุ่มพลังงานภายในเดือนมิ.ย. ขึ้นแท่นหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนพีอีต่ำอนาคตไกล ฟาก "ยุทธ ชินสุภัคกุล"ประธานกรรมการ ระบุบริษัทฯ มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและสภาพคล่องเพียงพอ เตรียมลุยขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมเวียดนาม ช่วยหนุนผลประกอบการอนาคตสดใส ส่วนผลงานปี 63 มั่นใจเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป(EP) เดิมชื่อ บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก(EPCO) เปิดเผยว่า หุ้น EP พร้อมจะย้ายไปซื้อขายในกลุ่มพลังงาน จากเดิมอยู่ในกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเมื่อย้ายไปเทรดในกลุ่มพลังงาน จะเห็นว่าราคาหุ้นปัจจุบัน มีราคาราคาเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้น(P/E)อยู่ที่ 4.86 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของพีอีกลุ่มพลังงานอยู่ที่ประมาณ 14.86 เท่า รวมทั้งเมื่อเทียบกับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในตลาดหลักทรัพย์ จะมีค่าพีอีประมาณ 30-200 เท่า
"เมื่อหุ้น EP เข้าไปเทรดในกลุ่มพลังงาน ก็จะเห็นว่าเป็นหุ้นที่มี พี/อี เรโชว์ ต่ำที่สุด หากเทียบกับการดำเนินธุรกิจและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจจากนี้ไปจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น”
ประธานกรรมการ กล่าวว่าในส่วนของฐานะการเงินของบริษัทตอนนี้ มีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจได้โดยไม่สะดุด และมีความพร้อมสามารถจ่ายหุ้นกู้ได้ตามปกติ
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2563 บริษัทฯมั่นใจว่าสามารถผ่านพ้นกับวิกฤติเศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคไวรัสโคโรนา2019(COVEID-19) ได้อย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จะเติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,494.12 ล้านบาท เนื่องจากจะรับรู้การจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 440 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทฯเตรียมจะ COD โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีกประมาณ 2-3 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกันพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 200-372 เมกะวัตต์ของบริษัทย่อยโดยให้ทำประมาณการการลงทุนไว้ พร้อมกับให้พิจารณาหาผู้ร่วมทุนเพื่อระดมทุนในอนาคต เพราะที่ผ่านมามีสถาบันทั้งใน และต่างประเทศให้ความสนใจจำนวนมาก
นอกจากนี้ บริษัทฯได้ปรับการดำเนินธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โดยหันมาเน้นผลิตเพื่อรองรับธุรกิจส่งของในประเทศ เพราะมีแนวโน้มเติบโตสูงซึ่งจะสามารถชดเชย ธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง รวมถึงยังมีคำสั่งซื้อจากธุรกิจร้านอาหาร และเครื่องดื่มอีกจำนวนมาก ซึ่งบริษัทมองว่าธุรกิจดังกล่าวน่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญได้ในอนาคต