![เปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ช่วยเอสเอ็มอี สู้วิกฤติโควิด-19]()
กรุงเทพฯ--7 พ.ค.--มาดี มาร์เกตติ้ง
สสว. ร่วมกับ
กรมบัญชีกลาง สภาพัฒน์ฯ และภาคีเครือขายภาครัฐและภาคเอกชน หวังช่วย
เอสเอ็มอี สู้วิกฤติ
โควิด-19 รุกตลาดใหญ่ “
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” ที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท เตรียมเดินหน้าทั้งมาตรการกำหนดโค้วตาซื้อสินค้า/บริการ และการให้แต้มต่อ
เอสเอ็มอีเพื่อเพิ่มศักภาพการแข่งขัน พร้อมเปิดช่องทางเข้าถึงผู้ประกอบการและสร้างความเชื่อมั่น ด้วยการขึ้นทะเบียน
เอสเอ็มอี และจัดทำแคตตาล็อกสินค้า เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด
ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม (
สสว.) เปิดเผยว่า
สสว. ได้ร่วมกับ
กรมบัญชีกลาง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในนามคณะทำงานสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงการ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อบูรณาการความร่วมมือหาแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอี ให้สามารถพลิกฟื้นกิจการภายหลังวิกฤติ
โควิด-19 ด้วยการมุ่งสร้างโอกาสในตลาดที่สำคัญ คือ การ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
“การ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอี เห็นได้จากข้อมูลในระบบ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ของ
กรมบัญชีกลาง พบว่า ตลาดนี้มีมูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท แต่ที่ผ่านมา
เอสเอ็มอี ยังเข้าถึงได้น้อย ซึ่งจากจำนวน
เอสเอ็มอี ที่เป็นนิติบุคคลซึ่งมีกว่า 7 แสนราย มีผู้ที่สามารถเข้าสู่ระบบจัดซื้อฯ โดยร่วมยื่นข้อเสนอโครงการได้เพียง 61,956 ราย หรือเพียงร้อยละ 8.84 อุปสรรคสำคัญมาจาก
เอสเอ็มอี ขาดความรู้ ความเข้าใจในการเข้าถึงระบบฯ รวมทั้งการปฏิบัติตามขั้นตอนและกระบวนการจัดจ้างของภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนที่สูง ขณะที่ความน่าเชื่อถือในการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขการจ้างและภายในระยะเวลาที่กำหนดมีต่ำกว่ารายใหญ่”
ทั้งนี้ แนวทางการส่งเสริม
เอสเอ็มอี ให้เข้าสู่ระบบการ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ในช่วงที่ผ่านมา
กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างนำเสนอ 2 มาตรการ ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนงบประมาณ
จัดซื้อจัดจ้างจาก
เอสเอ็มอี คิดเป็นร้อยละ 30 ของงบประมาณ
จัดซื้อจัดจ้าง และการกำหนดแต้มต่อด้านราคา เพื่อให้
เอสเอ็มอี ที่เสนอราคาสูงกว่าราคาต่ำสุดร้อยละ 10 สามารถเป็นผู้ชนะการแข่งขันได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้เตรียมนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ขณะที่การบูรณาการความร่วมมือในครั้งนี้ คณะทำงานฯ ทั้งผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้มีความเห็นร่วมกันว่าการส่งเสริม
เอสเอ็มอี ให้เข้าสู่การ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ควรมีการดำเนินการ ประกอบด้วย
1.การขึ้นทะเบียน
เอสเอ็มอี ภายใต้มาตรการ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนด ซึ่งนอกจากจะเป็นการยืนยันตัวตนของ
เอสเอ็มอี แล้ว ยังเปิดโอกาสให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบข้อมูลผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น
2.จัดทำบัญชีรายการสินค้าและบริการ (Product List/ SME Catalog) โดยรวบรวมรายการสินค้า
เอสเอ็มอี ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ สามารถเลือกซื้อหรือใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนการ
จัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้าได้ โดยสินค้านำร่องที่จะอยู่ในบัญชี SME Catalog ในเบื้องต้น ประกอบด้วย 1) อุปกรณ์ที่ใช้ในสำนักงาน 2) เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็ก 3) ของขวัญ/ของชำร่วย 4) อาหารและเครื่องดื่ม 5) จ้างทำของ/จ้างเหมาบริการ และ 6) โรงแรม/ที่พัก/สถานที่จัดประชุม-อบรม-สัมมนาขนาดเล็ก
นอกจากนี้คณะทำงานยังมีการพิจารณาแนวทางการส่งเสริมอื่นๆ เช่น กำหนดงานที่มีมูลค่าไม่เกิน 2-5 ล้านบาท ต้องจ้าง
เอสเอ็มอี โดยเฉพาะ ต้องเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ฯลฯ และพิจารณาให้ความช่วยเหลือ
เอสเอ็มอี ไม่ว่าจะเป็นให้คำปรึกษาแนะนำการเขียนข้อเสนอโครงการ การจัดเตรียมเอกสารประกอบการยื่นข้อเสนอ รวมถึงเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจของ
เอสเอ็มอี ในเรื่องดังกล่าวให้กับส่วนราชการซึ่งเป็นผู้กำหนดขอบเขตการจ้างงานได้รับรู้ เพื่อผลต่อการพัฒนาปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานให้เอื้อต่อ
เอสเอ็มอี มากขึ้น
ในส่วนของ
สสว. ได้เตรียมนำเสนอแนวทางการส่งเสริม
เอสเอ็มอี ให้เข้าสู่การ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ประกอบด้วย 5 แนวทาง ได้แก่ 1) กำหนดโควต้าการ
จัดซื้อจัดจ้าง ให้มีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะ
เอสเอ็มอีในท้องถิ่นและกลุ่ม Micro 2) การให้แต้มต่อด้านราคา 3) กำหนดประเภทสินค้าที่จะส่งเสริม 4) กำหนดวงเงินการ
จัดซื้อจัดจ้าง และ 5) กำหนดโจทย์การผลิตล่วงหน้า
“สิ่งที่
สสว. จะนำเสนอดังกล่าว ส่วนใหญ่สอดคล้องกับแนวทางของคณะทำงานฯ นอกจากนี้ หากกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานทั้งหมดให้มูลค่าการ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของ
เอสเอ็มอี เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 130,000 ล้านบาท ส่วนการกำหนดวงเงิน
จัดซื้อจัดจ้างเอสเอ็มอี รวมถึงผู้ประกอบการในประเทศ เห็นควรกำหนดเพดานวงเงินไม่เกิน 5.7 ล้านบาทต่อครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับเงื่อนไขภายใต้ข้อตกลงของ WTO
นอกจากนี้ ในด้านการกำหนดโจทย์ล่วงหน้า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา
สสว. ได้นำสมาคมการรับช่วงผลิตไทย ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ ไฟฟ้า และอุตสาหกรรม S-Curve เข้าพบพลอากาศเอกศิริพล ศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทซ่อมบำรุงอากาศยานให้กับเครื่องบินของกองทัพ ที่มีกองทุนสวัสดิการกองทัพอากาศ และ
สสว. เป็นผู้ถือหุ้น เพื่อหารือความเป็นไปได้ในการที่ผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอี ไทย ซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลก จะเข้าเป็นผู้จัดหาสินค้า บริการ และร่วมผลิตชิ้นส่วนให้กับการซ่อมบำรุงอากาศยานของกองทัพอากาศ และอุตสาหกรรมการบิน โดยทางบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด แจ้งว่าเป็นนโยบายของผู้บัญชาการกองทัพอากาศ พลอากาศเอกมานัต วงษ์วาทย์ ที่ต้องการจะเชื่อมโยงให้เกิดการกำหนดโจทย์การผลิตล่วงหน้าเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอีไทย สามารถผลิตสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการ
จัดซื้อจัดจ้างของบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด โดยบริษัทฯ จะช่วยผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอีไทย ตั้งแต่การเตรียมตัวให้ได้การรับรองมาตรฐาน และในขั้นต่อไป
สสว. จะร่วมกับบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด ในการจัดทำ Roadmap ความร่วมมือด้านโจทย์การผลิตสำหรับผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอีไทยเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมซ่อมบำรุงอากาศยานต่อไป”
อย่างไรก็ดี แนวทางการส่งเสริม
เอสเอ็มอี ในเรื่องต่างๆ ดังกล่าว จะมีการขับเคลื่อนผ่านหน่วยงานที่มีบทบาทภารกิจหลัก ทั้ง
กรมบัญชีกลาง สสว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในต่อไป
สำหรับคณะทำงานสนับสนุน
เอสเอ็มอี ให้เข้าถึงการ
จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย
สสว. กรมบัญชีกลาง สภาพัฒน์ฯ กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมส่งเสริมการเกษตรสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาพันธ์
เอสเอ็มอีไทย และสภาเกษตรกรแห่งชาติ