กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัญหาภัยแล้งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการเร่งแก้ไขปัญหาให้กับทุกภาคส่วน ทั้งด้านการอุปโภคบริโภค การเกษตร และอุตสาหกรรม ที่ผ่านมา กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้ประเมินสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา และได้มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ในลักษณะการเชื่อมโยงโครงข่ายน้ำทั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง และแผนระยะยาว ซึ่งจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (East Water) กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค และภาคประชาชน ทำให้มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ เช่น การก่อสร้างระบบสูบกลับชั่วคราว คลองสะพานเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง ระยะทาง 2.8 กม. เพื่อเสริมปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์ อัตราการสูบ 170,000 ลบ.ม. ต่อวัน ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จและได้มีการทดสอบระบบสูบน้ำไปแล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา และนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ ที่ประสบปัญหาปริมาณน้ำมีไม่เพียงพอความต้องการใช้น้ำซึ่งมีถึงประมาณวันละ 18,000-20,000 ลบ.ม.ต่อวัน และปริมาณในแหล่งน้ำสำรองของนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์มีปริมาณต่ำว่าเกณฑ์มาก ประกอบกับไม่มีน้ำมาเติมในอ่างเก็บน้ำ จึงได้วางแผนวางท่อส่งน้ำจากสระเอกชนเพื่อเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการวางระบบท่อเพื่อแก้ไขปัญหาแบบถาวร ปัจจุบันได้ดำเนินการวางท่อแล้วเสร็จ (ระยะที่ 2-3) และพร้อมจะจ่ายน้ำเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมได้ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้
สำหรับการวางระบบท่อเพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ EEC เป็นการเร่งด่วน ระยะทางรวม 36.2 กิโลเมตร โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 จากโรงกรองน้ำพานทอง 1 ผ่านสถานีพานทอง 2 ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร ระยะที่ 2 จากสถานีพานทอง 2 เข้าสู่สถานีเพิ่มแรงดันน้ำเพื่ออุตสาหกรรม ระยะทาง 9.8 กิโลเมตร และระยะที่ 3 จากสถานีเพิ่มแรงดันน้ำเพื่ออุตสาหกรรม ส่งต่อไปยังนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ ระยะทาง 15.9 กิโลเมตร ทั้งนี้ การวางระบบท่อทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือน 30 มิถุนายน 2563 เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับพื้นที่ EEC และพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างเป็นระบบต่อไป
เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ภัยแล้ง ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์น้ำและความคืบหน้าในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการออกมาตรการในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ทั้งการขอความร่วมมือทุกภาคส่วนให้ปรับลดการใช้น้ำลงไม่น้อยกว่า 10% เพื่อให้สามารถบริหารแหล่งน้ำต้นทุนให้มีใช้อย่างเพียงพอในทุกกิจกรรมไปจนสิ้นสุดฤดูแล้งปี 2563 การควบคุมและปรับแผนการส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตร รวมทั้งการหาแหล่งน้ำจากภาคเอกชนเพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี จะมีกำหนดการลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก จ.ระยอง ในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหา และขอความร่วมมือทุกภาคส่วนให้ใช้น้ำตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อลดผลกระทบและสามารถผ่านแล้งนี้ไปด้วยกัน
default