กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ยังคงทำผลงานได้เหนือตลาดอย่างแข็งแกร่ง โดยสามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 1,254 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 247 ล้านบาท ซึ่งยอดรับรู้รายได้และกำไรดังกล่าว นับว่าใกล้เคียงกับที่ทำได้ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งเป็นไตรมาสที่มีผลประกอบการที่ดีที่สุดในปี 2562 จากที่ไตรมาสดังกล่าวมีลูกค้าบางส่วนเร่งโอนกรรมสิทธิ์ก่อนมาตรการ LTV จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.62
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่าในปี 2563 นี้ จะเป็นปีที่ท้าทายความเป็นมืออาชีพอย่างมาก โดยเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการ Lock Down ทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ ในวงกว้างทั้งภาคธุรกิจ SMEs ธุรกิจรายใหญ่ และภาคประชาชน รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้เช่นกัน โดยเชื่อว่าตลาดโดยรวมจะหดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มของคอนโดมิเนียมจะหดตัวรุนแรง ในขณะที่กลุ่มแนวราบซึ่งเป็น Real Demand จะได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า สำหรับลลิลฯ นั้นมีการวางแผนกลยุทธ์ และระบบการบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีการติดตามประเมินความเสี่ยงด้านต่างๆ อย่างใกล้ชิด และปรับเปลี่ยนแผนงานให้สอดรับกับสถานการณ์ โดยทั้งนี้ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทยังคงสามารถทำผลงานโดยรวมได้น่าประทับใจ โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 1,254 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 247 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปีก่อนหน้าที่ฐานสูง จากการที่ลูกค้าบางส่วนเร่งโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาก่อนที่มาตรการ LTV จะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อเมษายน 2562 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้ามียอดเติบโต 24 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีอย่างต่อเนื่อง มีการบริหารงานด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มีการลดต้นทุนด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุก่อสร้างหลัก ส่งผลให้บริษัทยังคงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าร้อยละ 39 ซึ่งมากเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม ในขณะที่บริษัทยังคงมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนต้นทุนทางด้านการเงินที่ปรับลดลง จากต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ลดลง และการหมุนรอบของธุรกิจที่รวดเร็วขึ้น โดยทั้งนี้ในไตรมาสหนึ่งนี้ บริษัทมีการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี ไปมูลค่า 500 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ร้อยละ 2.90 ซึ่งเป็นการไปทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนด โดยหุ้นกู้ชุดเดิมนั้นมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 3.40
ตามแผนขยายธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่จำนวน 9 - 11 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5,000 – 5,500 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นการเปิดโครงการเพื่อการทดแทนโครงการเดิมที่จะทยอยปิดโครงการไป ทั้งนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่เหลือขอประเมินว่าโควิด-19 จะไม่แพร่กระจาย ซึ่งแม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุนขยายโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินได้เป็นอย่างดี โดยมีระดับหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นไตรมาสแรกนี้เพียง 0.78 เท่า ซึ่งนับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่าอย่างมาก นอกจากนี้บริษัทยังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รวมทั้งวงเงิน Committed Line จากสถาบันการเงินต่างๆ ที่บริษัทสำรองไว้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวนมากกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจตามแผนของบริษัท ตลอดจนสามารถรองรับหากเกิดสภาวะการเงินตึงตัวได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ