กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
'บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN’ ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 ทำรายได้ 460.88 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 95.26 ล้านบาท รับความต้องการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง COVID-19 ด้านผู้บริหารมั่นใจ ครึ่งปีแรกทำผลงานสุดแจ่ม ย้ำชัด JKN จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนต่อเนื่อง เพื่อรับแผนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปีนี้ หลังจ่ายปันผลเป็นหุ้นและเป็นเงินสดให้แก่นักลงทุนไปแล้วเมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา รวมมูลค่ากว่า 109.35 ล้านบาท
คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2563 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 460.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 424 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 95.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 80.50 ล้านบาท
โดยผลงานดังกล่าว มาจากศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ JKN ที่มีลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับพรีเมียมจากแบรนด์ดังระดับโลกมากมายซึ่งครอบคลุมทั้งสาระและความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์อินเดีย ซีรีส์ฟิลิปปินส์และคอนเทนต์สารคดีชั้นนำจากต่างประเทศ ทำให้ลูกค้าให้ความสนใจเข้ามาซื้อคอนเทนต์นำไปออกอากาศเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมผ่านทีวีดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ที่พบว่า กลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลติดต่อขอซื้อคอนเทนต์เพื่อนำไปออกอากาศทางสถานีเพิ่มขึ้น ทั้งช่อง 8 ช่อง 3 และช่องเวิร์คพอยท์
ขณะที่ตลาดต่างประเทศเอง บริษัทฯ สามารถปิดการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการทีวีในกลุ่มประเทศ CLMV หรือกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม รวมถึงการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์ละครไทยจากช่อง 3 ได้เพิ่มเติม ส่งผลให้ JKN ทำสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศในไตรมาสนี้สูงถึง 32.6% ซึ่งยังเป็นไปตามแผนงาน ที่ตั้งเป้าจะมีสัดส่วนจากตลาดต่างประเทศมากกว่า 30% ของรายได้รวม
“ในไตรมาสแรก คู่ค้าของเรามีความต้องการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เข้ามาเป็นจำนวนมากทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีศักยภาพความพร้อมของลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่หลากหลายจำนวน 8 กลุ่มให้กับลูกค้าที่
ครอบคลุมทุกความสาระและความบันเทิง ส่งผลดีต่ออัตราการหมุนเวียนลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้น ช่วยตอกย้ำให้ JKN เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี” คุณแอน-จักรพงษ์ กล่าว
ส่วนแผนดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มั่นใจว่าผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลยังมีความต้องการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมการรับชมโทรทัศน์ในช่วง Work From Home ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านการผลิตรายการแล้วหันมาซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพื่อนำไปออกากาศ ที่มีต้นทุนถูกกว่าการผลิตเอง จึงมั่นใจว่า ในครึ่งปีแรกของปีนี้ผลการดำเนินงานของ JKN จะมีแนวโน้มเติบโตที่ดีขึ้น 10-15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีต่อเนื่องจากการบริหารจัดการลูกหนี้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่ความคืบหน้าการนำ JKN ย้ายการซื้อขายบนกระดานตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งมั่นใจว่าหุ้น JKN จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้จ่ายปันผลให้แก่นักลงทุนเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราปันผลหุ้นละ 0.2025 บาท รวมมูลค่า 109.35 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการจ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล คิดเป็นมูลค่า 33.75 ล้านบาท และปันผลเป็นเงินอีกหุ้นละ 0.14 บาทต่อหุ้นคิดเป็น 75.6 ล้านบาท