กรุงเทพฯ--18 พ.ค.--แบรนด์ เวลท์
บมจ. แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ (ACE) ประกาศกำไรสุทธิเติบโตสูงสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าในไตรมาส 1 ปีนี้ เพิ่มขึ้นถึง 347 % เป็นเงิน 593.55 ล้านบาท พิสูจน์ชัดเจนว่าโควิดไม่มีผลกระทบ บอร์ดใจดี จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.03 บาท พร้อมรุกขยายพอร์ตไฟฟ้าเต็มสูบทั้งพัฒนาเองและซื้อกิจการ
นางสาวจิรฐา ทรงเมตตา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศไทย และเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดของไทย (The Clean Energy Leader) เปิดเผยว่า “สำหรับผลประกอบการ ไตรมาสแรก ในปี 2563 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 1,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 % เมื่อเทียบกับรายได้รวม 1,213 ล้านบาทในช่วงเดียวกันในงวดปี 2562 โดยมีกำไรสุทธิ 593.55 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด 347% จากกำไรสุทธิ 132.62 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2562 ทำให้อัตรากำไรสุทธิของ ACE ในไตรมาส 1 ปี 2563 สูงถึง 44 % ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทฯเกือบทั้งหมด ได้รับค่าไฟฟ้า ในอัตรา. ฟีด-อิน ทาริฟ (FIT) ซึ่งเป็นรายได้ที่มีเสถียรภาพสูง และไม่ได้ผลกระทบจากการปรับค่า FT ของภาครัฐแต่อย่างใด และไม่ได้รับผลกระทบ จากความต้องการไฟฟ้า ที่ลดลงของผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม
ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทฯได้ลดภาระหนี้สินเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้อย่างมีนัยยะสำคัญจำนวนร่วม 3,900 ล้านบาท เมื่อปลายปี รวมถึงบริษัทฯสามารถลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว กับสถาบันการเงิน ชั้นนำในอัตราต่ำ ส่งผลให้บริษัทฯลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจาก 110 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2562 เหลือเพียง 26 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรและสถานะทางการเงินของบริษัทยังปรับตัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยล่าสุดบริษัท มีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 44% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระ ดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ต่ำมากเพียง 0.23 เท่า ดังนั้นบริษัทฯจึงมีความพร้อมสูงสุดในการขยายการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE กล่าวเสริมว่า “คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นทุกราย โดยมีวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 2 มิถุนายน 2563 และจะจ่ายปันผลในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 นอกจากนั้น บริษัทฯ มีแผนงานที่จะขยายธุรกิจ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเตรียมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้า พลังงานทดแทนตามนโยบายสำคัญของภาครัฐ 2 โครงการใหญ่ คือ โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์โดยเฉพาะโครงการ Quick - Win ซึ่งเป็นเฟสแรก
ของโครงการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนและสามารถรับรู้รายได้ได้อย่างรวดเร็ว และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ รวมแล้ว 1,100 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ มีความพร้อมทุกด้าน ทั้งประสบการณ์ในการพัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้ากว่า 212 เมกะวัตต์ ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัย และพัฒนา (R&D) เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้า ด้วยวัสดุการเกษตร พืชพลังงานและขยะอินทรีย์ / ขยะชุมชน ความพร้อมทางการเงิน ผู้บริหาร - วิศวกรที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญจึงมั่นใจว่าบริษัทฯ มีโอกาสที่จะชนะการประมูล และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างมั่นคง สำหรับปีนี้ บริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่า จะสามารถสร้างผลประกอบการ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรโดยบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบัน ACE มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วกำลังการผลิตติดตั้งรวม 212.18 เมกะวัตต์ และมีเป้าหมายระยะยาว ที่จะเพิ่มกำลังการผลิต ติดตั้งรวมมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โครงการที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนาและโครงการในอนาคต ทั้งโรงไฟฟ้าชุมชนและโรงไฟฟ้าขยะ อันจะส่งผลให้ ACE เติบโตอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนี้ ล่าสุด ACE มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมกว่า 11,387 ล้านบาท เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงาน หมุนเวียน รายใหญ่ของประเทศไทย และเป็น 1 ในผู้นำด้านโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดของโลกที่มีความสามารถ ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลากหลาย ประเภท มีความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพเป็นต้นแบบของโลกเกี่ยวกับ โรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 14001, ISO 9001 และ OHSAS 18001 อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างของโลกในการดำเนินกิจการ โดยยึดหลัก ESG (Environmental Social and Governance) ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล และเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิด Positive Total Societal Impact (TSI) หรือผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่สังคม จากการดำเนินงานของบริษัทฯ อันจะส่งผลดีต่อผลตอบแทนการลงทุนโดยรวม นอกจากนี้โรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะของ ACE ช่วยลดมลภาวะและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน เพื่อป้องกันการเกิด PM2.5 ลดปัญหาขยะชุมชน และช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยทุกคน