กรุงเทพฯ--18 พ.ค.--อุตสาหกรรม อิเล็คโทรนิคส์
บริษัท อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EIC ชี้แจงกรณีการเผยแพร่งบการเงินไตรมาส 1 ปี 2563 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมาและปรากฎส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่จำนวน 756,322,127 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 48.80 เมื่อเทียบกับทุนชำระแล้วของบริษัทฯ (ภายหลังปรับปรุงด้วยส่วนต่ำมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ตามแนวทางการคำนวณของตลาดหลักทรัพย์ฯ) จึงเข้าข่ายกรณีส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับทุนชำระแล้วของบริษัทฯ อันเป็นเหตุให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินการขึ้นเครื่องหมาย C บนหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ในรอบเช้าของวันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563 และผู้ลงทุนจะต้องซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ด้วยบัญชี Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไปนั้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝ่ายจัดการของบริษัทฯเผยว่า “จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาในประเทศไทยมียอดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับผู้บริโภคในประเทศไทยที่มีความระมัดระวังในการบริโภคสินค้าและรับบริการมากขึ้นเนื่องจากความกังวลทั้งในเรื่องของสภาพความถดถอยทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้ยอดขายของกลุ่มบริษัทฯ ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้ ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบต่อภาครวมของธุรกิจให้ได้มากที่สุด กลุ่มบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธรวมถึงช่องทางการขายเป็นแบบ Delivery และทำโปรโมชั่นราคาเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าปรับลดลงจากช่วงสถานการณ์ปกติ นอกจากนี้ผลกระทบจากยอดขายที่ลดลงและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid 19 ยังส่งผลให้แผนการย้ายหรือขยายสาขาของร้านขายอาหารของบริษัทฯ ล่าช้ากว่ากำหนดการเดิม ซึ่งเดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2563 ด้วยบริษัทฯ ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและมั่นใจว่าการย้ายหรือขยายสาขาจะสามารถสร้างผลประกอบการที่คุ้มค่าได้ ซึ่งปัจจุบันปัจจัยสำคัญต่อการพิจารณาขึ้นอยู่กับนโยบายของทางภาครัฐที่ต้องมุ่งยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid 19 เป็นหลัก”
ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ ประธานกรรมการบริษัทฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “ในส่วนของคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ ได้มีการติดตามแนวทางแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากการลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid 19 อยู่ตลอด โดยจะเห็นได้จากการที่ช่วงที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ สามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและวางกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างหลากหลายมากขึ้น ซึ่งหากภาครัฐมีการผ่อนปรนมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่อใด บริษัทฯ เชื่อว่ายอดขายโดยรวมของกลุ่มบริษัทฯปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการประเมินสถานการณ์การลดลงของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตลอดมาและเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ แต่อย่างใด เนื่องจากในไตรมาสที่ 1/2563 ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ต่ำกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับทุนชำระแล้วของบริษัทฯ เพียง 18.55 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น หากกลุ่มบริษัทฯ สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าได้มากขึ้น ประกอบกับสามารถดำเนินการจัดหาเงินทุนจากการเพิ่มทุนของบริษัทฯ ได้ตามที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ได้อนุมัติการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ไว้แล้ว บริษัทฯ ก็เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ต่ำกว่าร้อยละ 50 ได้อย่างแน่นอน”