กรุงเทพฯ--18 พ.ค.--บลจ.บัวหลวง
กองทุนบัวหลวงเชื่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสุขภาพน่าสนใจลงทุน เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติ โควิด-19 ไม่มาก และยังอาจได้ผลบวกจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอนาคต พร้อมนำเสนอกองทุน B-INNOTECH และ B-CARE เป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาว
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนรวมเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF) ที่ลงทุนในกองทุนหลัก Fidelity Funds - Global Technology Fund ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของดัชนีหุ้นทั่วโลก เมื่อพิจารณาจากผลตอบแทนของดัชนี MSCI ACWI Information Technology ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา
(ข้อมูลจาก MSCI : ดัชนี MSCI ACWI Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นทั่วโลก อันประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว 23 ประเทศ และตลาดเกิดใหม่ 26 ประเทศ ณ วันที่ 1 ม.ค. - 30 เม.ย. 2563 มีผลตอบแทนอยู่ที่ -12.78% ขณะที่ดัชนี MSCI ACWI Information Technology ซึ่งรวมเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และขนาดกลางจากกลุ่มตลาดเดียวกัน ให้ผลตอบแทนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 เม.ย. 2563 อยู่ที่ -2.17% ซึ่งปรับตัวลดลงน้อยกว่าดัชนี MSCI ACWI อย่างมีนัยสำคัญ)
ทั้งนี้ สาเหตุที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นโดยรวม เนื่องจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการด้านเทคโนโลยีในภาพรวมไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝั่งภาคธุรกิจหรือฟากผู้บริโภค ทั้งสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมายังเอื้อประโยชน์ต่อสินค้าหรือบริการด้านเทคโนโลยีบางกลุ่มอีกด้วย เช่น ในภาคธุรกิจ มีความต้องการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีรองรับการให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home ด้วย ส่วนผู้บริโภคก็มีการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งการปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซให้เร่งตัวได้หลังจากนี้ เช่นเดียวกับ บริการด้านความบันเทิงออนไลน์ ทั้งเกมส์ และวิดีโอสตรีมมิ่ง ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
สำหรับ หุ้นเทคโนโลยีที่กองทุนหลักลงทุนและให้ผลตอบแทนเชิงบวก ได้แก่ กลุ่มสื่อและบริการสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ (Interactive Media and Services) สัดส่วน 10.3% กลุ่มความบันเทิง 6.2% ทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จากการทำงานจากที่บ้านและ Social Distancing อย่างไรก็ดี กองทุนหลักให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เพราะมองว่ามีจุดเด่นเรื่องความสามารถในการสร้างรายได้ในรูปกระแสเงินสดที่สูง มีงบการเงินแข็งแกร่ง และหนี้สินต่ำ ซึ่งราคาหุ้นยังไม่ได้ตอบสนองปัจจัยด้านพื้นฐานเท่าที่ควร เพราะก่อนหน้านี้นักลงทุนเน้นซื้อหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่มากกว่า เนื่องจากมองว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยกว่า
ส่วนหุ้นเทคโนโลยีที่กองทุนหลักลงทุนแล้วให้ผลตอบแทนในเชิงลบ ได้แก่ กลุ่มซอฟต์แวร์ มีสัดส่วน 17.1% ของพอร์ตลงทุน เป็นซอฟต์แวร์ธุรกิจ โดยในช่วงโควิด-19 ระบาด ได้รับผลกระทบระยะสั้นจากการที่บริษัทต่างๆ ชะลอการใช้งบลงทุนและพัฒนาด้านไอทีไปบ้าง และยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในช่วงที่เหลือของปี แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต
ขณะที่ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF) ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก Wellington Global Health Care Equity Portfolio นำเสนอข้อมูลล่าสุดว่า เหตุการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ทำให้เทคโนโลยีเทเลเมดิซีน หรือการสื่อสารโต้ตอบแบบเรียลไทม์ระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ มีแนวโน้มที่จะนำมาใช้มากขึ้น สำหรับกองทุนหลักลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์มากที่สุดถึง 31% ของพอร์ตลงทุน มากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เพราะมองเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ทางการแพทย์
ในระยะสั้น กองทุนหลักมีมุมมองเชิงบวกแบบระมัดระวังต่อหุ้นกลุ่มสุขภาพในสหรัฐฯ เพราะยังมีประเด็นการเมืองและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่รบกวนอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าการปฏิรูปราคายาของสหรัฐฯ หรือโอกาสที่จะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพในสหรัฐฯ จากระบบเดิมไปสู่ระบบใหม่ที่ดำเนินการโดยรัฐหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีปีนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากใช้งบประมาณของประเทศสูงเกินกว่าที่รัฐบาลจะแบกรับไหว
กองทุนหลักมองว่า หุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลกยังเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่น เพราะเป็นหุ้นปลอดภัยที่ได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยเชิงโครงสร้างประชากรในระยะยาว และความต้องการสินค้าในกลุ่มยานั้นได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดน้อยมาก
ในขณะที่ประเด็นการคิดค้นยารักษา รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นั้น ผู้จัดการกองทุนหลัก เชื่อว่าการพัฒนายาต้องใช้เวลา เพราะการรักษาใหม่ๆ ผู้วิจัยต้องประเมินให้ยามีผลข้างเคียงน้อยที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับประชากรโดยรวม ส่วนการพัฒนาวัคซีนน่าจะใช้เวลามากกว่ายา โดยในอดีต กระบวนการพัฒนาวัคซีนใช้เวลานานเป็น 10 ปี เพราะแต่ละบริษัทไม่ได้มีการให้ความร่วมมือกัน แต่ในสถานการณ์โควิด-19 ระบาด อาจใช้เวลาในแต่ละขั้นตอนน้อยลง เพราะทุกฝ่ายเปิดกว้าง ทั้งร่วมมือกันแบ่งปันข้อมูลสารพันธุกรรมและสารออกฤทธิ์ อีกทั้งภาครัฐยังสนับสนุนให้กระบวนการทดลองยาและแจกจ่ายสู่ตลาดมีขั้นตอนที่สั้นลง
ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้ว หุ้นเทคโนโลยีและหุ้นสุขภาพเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา โดยจากข้อมูลที่นำเสนอแสดงให้เห็นว่า ในสภาวะที่มีโรคระบาดทำให้เห็นความน่าลงทุนของหุ้นทั้ง 2 กลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งกองทุนบัวหลวงก็มีทั้งกองทุน B-INNOTECH และ B-INNOTECHRMF สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีระยะยาว รวมไปถึงกองทุน BCARE และ BCARERMF สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย โดยกองทุนบัวหลวงจะมีการอัพเดทข้อมูลผลิตภัณฑ์กองทุนต่างๆ เป็นประจำทุกไตรมาส ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเข้าไปติดตามได้ผ่านช่องทางเว็บไซต์ bblam.co.th และ BF Mobile App.
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นกับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน