กรุงเทพฯ--18 พ.ค.--สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์
บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2563 โดยธุรกิจหลักยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โชว์กระแสเงินสดกว่า 3.2 พันล้านบาทเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว และไม่มีทิศทางชัดเจน พร้อมเร่งเครื่องเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในและตปท.
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากที่เราใช้เวลาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทจากฐานราก ในปีที่แล้วเราเริ่มมุ่งความสนใจไปที่การสร้างความเติบโตเพื่อไตรมาสนี้ ในขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน แต่เรามีเงินสดกว่า 3.2 พันล้านเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจในช่วงเวลานี้ และเราสามารถเลือกที่จะลงทุนกับลูกค้าที่ดีได้ทุกที่ทุกเวลา บริษัทฯ พยายามสร้างผลประกอบการที่ดีให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คำนึงถึงส่วนแบ่งทางการตลาดที่ดีและคัดเลือกลูกค้าเพื่อรักษารากฐานทางธุรกิจไว้ นอกจากนี้บริษัทยังมีการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยการประกอบธุรกิจของเรายังคงมีกำไร มีปริมาณเงินสดจำนวนมาก และเราจะพยายามสร้างผลประกอบการที่ดีในอนาคตอันใกล้นี้”
นายอาลัน ฌอง ปาสคาล ดูเฟส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันธุรกิจหลักในประเทศไทยมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราร่วมงานกับผู้จัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นกว่า 17 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานของเรา ในระยะเริ่มต้นของวิกฤตในเดือนมีนาคม บริษัทฯ ได้เปลี่ยนนโยบายการอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อในไทย ส่งผลให้เรายังรักษาคุณภาพของลูกหนี้ได้แม้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายยิ่งขึ้น หากเทียบ ปีต่อปี และไตรมาสต่อไตรมาส รายจ่ายในการประกอบการของเรายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เราอยู่รอดได้ท่ามกลางเศรษฐกิจอันสั่นคลอนนี้ โดยธุรกิจสินเชื่อที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกันนั้น บริษัทได้ดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลดีต่อเราเนื่องจากจำนวนสัญญาเพิ่มขึ้น 73% ต่อสาขา ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อสาขาลดลง
สำหรับธุรกิจนอกประเทศไทย เรามุ่งความสนใจไปธุรกิจการให้สินเชื่อรายย่อยซึ่งยังคงเติบโตและผลประกอบการดี – รายได้จาก group loan ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย การตั้งสำรองสำหรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ การเติบโตของผลประกอบการของเราจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้นในอนาคต
โดยการที่บริษัทฯ ขาดทุน 115.42 ล้านในไตรมาส 1 ของปี 2563 นี้ หลัก ๆ เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายพิเศษ แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายจำนวน 28 ล้านบาท การตั้งสำรองพิเศษสำหรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 จำนวน 82 ล้านบาท และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 53 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายพิเศษทั้ง 3 รายการนี้รวมแล้วมูลค่ามากกว่า 163 ล้านบาท ซึ่งหากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษทั้งสามรายการนี้แล้ว ผลประกอบการของเราจะมีกำไรในไตรมาสนี้”