![ผนึกกำลังทุกภาคส่วนร่วมถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี 2563 กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม]()
กรุงเทพฯ--20 พ.ค.--
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นาย
วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและให้แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา
ไฟป่าและหมอกควันปี 2564 ในงานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสรุปผลและถอดบทเรียน (After Action Review : AAR) การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควัน
ภาคเหนือ ปี 2563 โอกาสนี้นาย
จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และผู้แทนหน่วยงานใน ๙ จังหวัด
ภาคเหนือ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมรับฟังแนวทางการดำเนินงาน ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
โดยโอกาสนี้
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควัน
ภาคเหนือ แต่ละจังหวัดมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องมาพูดคุยกัน การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนมีความสำคัญมาก ในปีที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณที่ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งกองทัพภาคที่ 3 และฝ่ายปกครอง ทั้งนี้ แต่ละปีมีปัญหาแตกต่างกันไป ข้อจำกัดเงื่อนไขต่างๆต้องเอามาเป็นบทเรียน การถอดบทเรียนเป็นเวทีที่เปิดให้ทุกภาคส่วนมาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ผิดถูกไม่มีใครว่า
ไฟป่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน บางครั้งบางกลุ่มมีเป้าหมายแตกต่างไป แต่ ทส.มีเป้าหมายฝุ่นละอองลดลงทุกจังหวัด ไม่ใช่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ท่านนายก
รัฐมนตรี รองนายก
รัฐมนตรี ให้ความสำคัญในเรื่อง
ไฟป่าเป็นลำดับต้นๆ ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องโควิด-19 แต่ปัญหา
ไฟป่า ท่านให้ความสำคัญไม่แพ้กัน และกำชับให้ รมว.ทส. ปกท.ทส. และเจ้าหน้าที่ ทส. ทำงานอย่างเต็มที่ สุดท้ายนี้ขอให้กำลังใจทุกภาคส่วน ในการทำงานร่วมกันให้เกิดความสำเร็จ
การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสรุปผลและถอดบทเรียน (After Action Review : AAR) การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควัน
ภาคเหนือ ปี 2563 ในครั้งนี้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 พฤษภาคม 2563 ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และร่วมถอดบทเรียนผลการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาจากภาคเอกชน ประชาชน จิตอาสา NGOs และนักวิชาการ ในทุกด้านทุกมุมมอง เพื่อนำมาสรุปและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควัน
ภาคเหนือ ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ ในการประชุมวันนี้ เป็นการประชุมต่อเนี่องเป็นวันที่ 2 โดยมีการประชุมกลุ่มย่อย ที่ 3 ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ จากนั้น นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหา
ไฟป่าและหมอกควัน (ส่วนหน้า) ได้สรุปผลการประชุมกลุ่มย่อย ทั้ง 3 กลุ่มมีสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กลุ่มย่อยที่ 1 ในส่วนของเจ้าหน้าที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการหารือถึงสาเหตุของปัญหา ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะการทำงาน โดยเฉพาะประเด็นหลัก ดังนี้การถ่ายโอนภารกิจการควบคุม
ไฟป่าให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องให้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หารือกับกระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการกระจายอำนาจ เพื่อหาแนวทางให้การถ่ายโอนภารกิจ มีผลบังคับใช้และเกิดผลในทางปฏิบัติการจัดการเชื้อเพลิง ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามช่วงเวลาและยังไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้เร่งจัดการเชื้อเพลิงก่อนเข้าช่วงสถานการณ์หมอกควัน โดยไม่นำเอาจุดความร้อน (Hotspot) มาเป็นตัวชี้วัด ทั้งนี้ เมื่อเข้าช่วงหมอกควัน ให้จัดระเบียบการเผา ดำเนินการเผาแบบควบคุม โดยไม่ให้ฝุ่นละอองสูงจนเกินเกณฑ์มาตรฐาน และให้จังหวัดพิจารณาการใช้มาตรการขอความร่วมมือให้ประชาชนจัดการเชื้อเพลิงภายใต้การควบคุม ตามที่ภาครัฐกำหนด โดยไม่ต้องกำหนดช่วงห้ามเผาเพื่อความถูกต้องในการวิเคราะห์ข้อมูล ให้ อส. และ ปม. จัดส่งขอบเขตพื้นที่เกษตรกรรมในป่า ให้ GISTDA ในการประมวลผลข้อมูลพื้นที่ที่เกิดจุดความร้อน ซึ่งจะช่วยให้การกำหนดแผนงานในการบริหารจัดการมีความถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกลุ่มย่อยที่ 2 ในส่วนของภาคประชาชน เห็นพ้องให้มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน อีกทั้งให้มีการบูรณาการการดำเนินงานให้เชื่อมโยงกันทุกระบบ ตลอดจนให้มีการบริหารจัดการเชิงพื้นที่เป็นหลักกลุ่มย่อยที่ 3 ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ โดยทุกหน่วยงานต้องมีการคุมเข้มและบังคับใช้กฎหมายในความรับผิดชอบอย่างจริงจัง และใช้กลไกระดับหมู่บ้าน ตำบล โดยเฉพาะประชาคมหมู่บ้าน ให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน เพื่อร่วมเฝ้าระวังและจัดชุดดับไฟขั้นต้น ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะสนับสนุนกระบวนการการมีส่วนร่วมของชุมชนรักษาป่าในทุกพื้นที่อย่างเข้มแข็งต่อเนื่องกันไปอย่างยั่งยืน