กรุงเทพฯ--21 พ.ค.--วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล
วายแอลจีเผยการลดดอกเบี้ยของ กนง.ไม่มีผลต่อราคาทองในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เหตุค่าเงินบาทยังอ่อน เตือนระยะสั้นราคาทองคำยังผันผวน หลังต้นสัปดาห์ขึ้นทำสถิติสูงสุดของปีนี้ครั้งใหม่ที่ 1,765 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เหตุความความสัมพันธ์จีน – สหรัฐตึงเครียดมากขึ้น และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐย่ำแย่ ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าและกระตุ้นแรงซื้อทองคำ แต่จากสถิติพบว่าเมื่อราคาทองคำทำนิวไฮมักมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา แนะนักลงทุนทยอยขายเมื่อราคาทองคำขยับเข้าใกล้เป้าหมายแรกปีนี้ที่ 1,788-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ คิดเป็นราคาในประเทศราว 27,000 บาท แต่หากผ่านแนวต้านแรกได้ค่อยชะลอการขายออกไป
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับสูงสุดครั้งใหม่ของปีนี้และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี 7 เดือน บริเวณ 1,765 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันจันทร์ที่ 18 พ.ค. 2563 ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐที่ตึงเครียดมากขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ ไม่สนใจที่จะสนทนากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในขณะนี้ พร้อมแสดงความผิดหวังที่จีนล้มเหลวในการควบคุมการระบาดของ COVID-19 อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังกำหนดกฎใหม่โดยสั่งบริษัททั่วโลกแบนส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปให้บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ขณะที่สื่อจีน ระบุว่า จีนอาจทำการตอบโต้ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐด้วยการสอบสวนบริษัทสัญชาติอเมริกัน รวมทั้งระงับคำสั่งซื้อเครื่องบินจากโบอิ้งอีกด้วย ประเด็นนี้กดดันเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่า พร้อมกับกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน อาจยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วจากการระบาดของ COVID-19 ให้เลวร้ายลงไปอีก
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำมีการอ่อนตัวลงในเวลาต่อมา ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐยังไม่แน่ชัดว่าจะลุกลามเป็นสงครามการค้าดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปีที่แล้วหรือไม่ โดยเมื่อต้นเดือน พ.ค. ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะร่วมมือกัน สร้างบรรยากาศและภาวะต่างๆ ที่เอื้ออำนวยกับการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างจีนและสหรัฐ ด้านนายแลร์รี คุดโลว์ หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีการลงนามในเดือนม.ค.จะไม่มีวันถูกยกเลิก ประกอบกับยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อราคาทองคำเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง, แนวโน้มการดำเนินนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจการเงินและการคลังเพิ่มเติมของหลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐ, ความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 หลังหลายประเทศทั่วโลกกลับมาเปิดเศรษฐกิจ และการพัฒนาวัคซีนต้าน COVID-19 ด้านปัจจัยภายในประเทศ แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 0.50% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การอ่อนค่าของค่าเงินบาทยังจำกัด หลังไทยสามารถควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้ดี ส่งผลให้ประเทศค่อยๆกลับมาเปิดธุรกิจและผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ กระตุ้นความหวังว่าภาคการท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวขึ้นจึงเป็นปัจจัยช่วยจำกัดการอ่อนค่าของค่าเงินบาท ทำให้ราคาทองคำในประเทศได้รับอานิสงค์เชิงบวกไม่มากนัก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มผันผวนได้ทั้ง 2 ทิศทาง
จากการปรับตัวขึ้นมาของราคาทองคำในปีนี้ ถือว่าเคลื่อนไหวเข้าใกล้เป้าหมายที่ YLG ประเมินไว้ ดังนั้นนักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากหลายครั้งเมื่อราคาสร้างระดับสูงสุดใหม่มักจะมีแรงขายทำกำไรเข้ามากดดันให้ราคาทองคำอ่อนตัวลง จึงแนะนำแบ่งออกคำออกขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ หรือ ทดสอบเป้าหมายของปีนี้ที่แนวต้านโซน 1,788-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของช่วงเดือน ก.พ. ,ก.ย. และ ต.ค. 2555 แต่หากผ่านแนวต้านแรกได้ให้ชะลอการขายออกไปโซน 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของช่วงเดือน ก.ย. ปี 2554 ขณะที่การเข้าซื้อ อาจรอราคามีการปรับตัวลดลงและไม่หลุดแนวรับ เบื้องต้นคาดการณ์แนวรับแรกบริเวณ 1,704-1,690 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุด ของช่วงเดือน มี.ค.และ ก.พ.ของปีนี้ ที่สำคัญนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการไล่ซื้อพร้อมกำหนดราคาเป้าหมายและจุดตัดขาดทุนประกอบการลงทุนทุกครั้ง
นักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ YLG ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888 รวมถึงสามารถติดตามบทวิเคราะห์ อัพเดทข่าวสารที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ข่าวโปรโมชั่น สัมมนา และข่าวประชาสัมพันธ์ของ YLG ผ่านทางหลากหลายช่องทาง อาทิ www.ylgprecious.co.th และ https://www.facebook.com/YLGGroup