กรุงเทพฯ--26 พ.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ผู้ผลิตถุงมือยางอันดับ 3 ของโลก โชว์ศักยภาพธุรกิจถุงมือยาง ชูการขยายกำลังการผลิตติดตั้งอย่างต่อเนื่อง รับดีมานด์ทั่วโลกเติบโตและความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์โรคระบาด พร้อมวางแผนระยะยาวเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งแตะ 100,000 ล้านชิ้นภายในปี 2575 เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 444,780,000 หุ้น เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนขยายกำลังการผลิตถุงมือยางอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายในการรักษาการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายถุงมือยางรายใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก ซึ่งจะเน้นเพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยางธรรมชาติและรักษาสัดส่วนผลิตถุงมือยางไนไตรล์ที่ใช้น้ำยางสังเคราะห์เป็นวัตถุดิบอย่างเหมาะสม รวมถึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ภายในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต
ปัจจุบันบริษัทฯ เชื่อว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตถุงมือยางที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 รวมทั้งสิ้น 27,153 ล้านชิ้นต่อปี จากโรงงาน 3 แห่ง ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานีและตรัง และในระยะยาววางแผนขยายกำลังการผลิตเป็น 2 ระยะ โดยเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นประมาณ 50,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2568 และก้าวสู่ 100,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2575 นอกจากนี้ได้นำระบบการผลิตสินค้าแบบอัตโมนัติ (Automation) มาใช้ภายในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การเตรียมและผสมวัตถุดิบแบบอัตโนมัติ, ระบบตรวจจับของเสียด้วยเซ็นเซอร์, ระบบเครื่องถอดถุงมืออัตโนมัติ เป็นต้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด 'Touch of Life’ เพราะทุกสัมผัสนั้นมีความหมายต่อชีวิต และมีวิชั่น 'ส่งมอบการปกป้องทุกสัมผัสด้วยความห่วงใย สู่ทุกชีวิตทั่วโลก’ โดยแบ่งธุรกิจเป็น 2 กลุ่มคือ 1. ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติ (Latex Glove) ประกอบด้วย ถุงมือยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง (Latex Powdered Glove) และถุงมือยางธรรมชาติชนิดไม่มีแป้ง (Latex Powder Free Glove) และ 2. ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางไนไตรล์ (Nitrile Glove) ที่ผลิตจากน้ำยางสังเคราะห์ โดยจำหน่ายในไทยและส่งออกกว่า 95 ประเทศทั่วโลกในปี 2562 ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ บริษัทย่อย และกลุ่ม บมจ. ศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี หรือ STA ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน STGT รวมถึงการรับจ้างผลิต (OEM) แก่ลูกค้า
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง อาทิ ทวีปเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ แอฟริกา อเมริกาใต้ ฯลฯ ซึ่งกำลังพัฒนาระบบสาธารณสุขและสุขอนามัย ดังนั้นอัตราการบริโภคถุงมือยางเฉลี่ยต่อคนต่อปีจึงมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต โดย STGT จะใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงงานในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์การเพาะปลูกยางพาราและโรงงานผลิตน้ำยางข้นของกลุ่ม STA ที่เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและซัพพลายเชน
ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยางทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาเติบโตมาตลอด โดยสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางแห่งมาเลเซีย (MARGMA) ประเมินความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกในปี 2562 อยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านชิ้น เติบโตเฉลี่ย 12.2% ต่อปี นับจากปี 2559 ที่มีความต้องการใช้ 212,000 ล้านชิ้น ซึ่งมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมทางการแพทย์และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยของคนทั่วโลก นอกจากนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นอุปกรณ์การแพทย์ที่สำคัญในการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย ห้องแล็บและตรวจรักษาโรค
นางสาวธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ ผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวม 12,224.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.3% และมีกำไรสุทธิ 613.91 ล้านบาท เนื่องจากมีปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้นจากการขยายตลาดใหม่ๆ อาทิ ประเทศอินเดีย แอฟริกาใต้ ประเทศในแถบละตินอเมริกา ฯลฯ และการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มีรายได้รวม 3,873.28 ล้านบาท เติบโต 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 421.89 ล้านบาท เติบโต 184.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยมาจากการขยายกำลังการผลิต รวมไปถึงความต้องการใช้ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังเกิดโรคระบาด COVID-19 ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเร่งการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ล่าสุดได้รับการอนุมัติเป็นที่เรียบร้อย โดยปัจจุบัน บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) มีทุนจดทะเบียน 1,434,780,000 บาท คิดเป็นจำนวน 1,434,780,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนที่ชำระแล้ว 990,000,000 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 444,780,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 31 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้
การเสนอขายหุ้น IPO แบ่งเป็น 1. เสนอขายแก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 432,780,000 หุ้น 2. เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี และบริษัทย่อย จำนวนไม่เกิน 2,000,000 หุ้น 3. เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) และบริษัทย่อย จำนวนไม่เกิน 10,000,000 หุ้น ในจำนวนนี้จะเสนอขาย ณ วัน IPO จำนวนไม่เกิน 4,000,000 หุ้น และส่วนที่เหลืออีก 6,000,000 หุ้นจะถูกเสนอขายในปีที่ 1 - 2 ภายหลังวัน IPO และ 4. หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรในส่วนที่ 2-3 (ถ้ามี) จะเสนอขายแก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบันและผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ โดย STGT จะนำเงินจากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ติดตั้งระบบ SAP ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งคาดว่าจะนำ บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาสที่ 3 นี้