กรุงเทพฯ--26 พ.ค.--แคสเปอร์สกี้
ในขณะที่มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing กลายเป็นเรื่องธรรมดา และคนทำงานจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานใหม่จากในห้องนั่งเล่นของตัวเอง และมีแนวโน้มที่ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานจะผสมปนเปกัน จากรายงานของแคสเปอร์สกี้ เรื่อง “How COVID-19 changed the way people work” พบว่า ผู้ที่ทำงานจากบ้านจำนวนครึ่งหนึ่ง (51%) ที่เริ่มรับชมเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ ต่างยอมรับว่า ได้เปิดดูจากอุปกรณ์เดียวกันกับที่ใช้เพื่อการทำงาน
'ชีวิตวิถีใหม่' ที่คนทำงานกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้กำลังเริ่มส่งผลกระทบต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน พนักงานเกือบหนึ่งในสาม (31%) กล่าวว่า พวกเขาใช้เวลาทำงานมากกว่าที่เคยทำมาก่อน อย่างไรก็ตาม 46% กล่าวว่าพวกเขาได้เพิ่มเวลาในการทำกิจกรรมส่วนตัว การเปลี่ยนแปลงแบบนี้อาจเกิดขึ้นเพราะคนงานไม่ต้องเดินทางหรือเดินทางมากเท่าที่เคยมีมา
รายงานยังเผยว่ามันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับคนทำงานที่จะแยกการทำงานและกิจกรรมส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องไอที พนักงาน 51% ที่ยอมรับว่าเริ่มดูเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ตั้งแต่ทำงานจากที่บ้าน กล่าวว่าพวกเขาใช้อุปกรณ์ที่ใช้ทำงานเพื่อเปิดดูเนื้อหาดังกล่าว โดยพนักงานเกือบหนึ่งในห้า (18%) เปิดดูบนอุปกรณ์ที่นายจ้างจัดหาให้ และพนักงาน 33% ยอมรับว่าการดูเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่บนอุปกรณ์ส่วนตัวที่ใช้ในการทำงาน
นอกจากนี้ แรงงาน 55% ระบุว่าได้อ่านข่าวมากขึ้นกว่าเดิมก่อนหน้าที่จะเริ่มทำงานจากที่บ้าน ซึ่งมีสาเหตุจากการที่ผู้คนต้องการที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารเรื่องโคโรน่าไวรัส โดย 60% จากกลุ่มนี้อ่านข่าวโดยใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน ซึ่งการทำเช่นนี้อาจนำไปสู่การติดเชื้อมัลแวร์ได้ หากพนักงานไม่ระมัดระวังตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าชม
ทั้งนี้ คนทำงานก็กำลังพัฒนาพฤติกรรมการใช้บริการส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำงาน – เพิ่มความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากระบบไอทีเงา (Shadow IT) รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตัวอย่างเช่น พนักงาน 42% ใช้บัญชีอีเมลส่วนตัวสำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงาน และพนักงาน 49% ยอมรับว่าการใช้งานของพวกเขาเพิ่มขึ้นเมื่อทำงานจากที่บ้าน พนักงาน 38% ใช้งานบริการส่งข้อความส่วนตัวโดยที่ไม่ได้รับการอนุมัติจากแผนกไอที โดยในจำนวนนี้มีพนักงาน 60% ที่ทำเช่นนั้นบ่อยขึ้นในสถานการณ์ใหม่ๆ
นายอันเดรย์ เอฟโดคิมอฟ ประธานบริหารฝ่ายความปลอดภัยไอที แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจไม่สามารถทำตามคำขอของผู้ใช้ทั้งหมดได้ เช่น อนุญาตให้พนักงานใช้บริการใดๆ ตามที่ต้องการ จึงจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่างความสะดวกของผู้ใช้ ความจำเป็นทางธุรกิจและความปลอดภัย ในการบรรลุเป้าหมายนี้ บริษัทควรให้การเข้าถึงบริการตามหลักการของการจัดหาสิทธิพิเศษที่จำเป็นน้อยที่สุด ใช้ VPN และใช้ระบบขององค์กรที่ปลอดภัยและได้รับการอนุมัติ ซอฟต์แวร์ประเภทนี้อาจมีข้อจำกัดบางประการซึ่งจะลดความสามารถในการใช้งานเล็กน้อย แต่ให้การรับรองที่มากขึ้นในการจัดหามาตรการรักษาความปลอดภัย”
เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจต่าง ๆ สามารถดำเนินการเพื่อรักษาพนักงานและข้อมูลขององค์กรให้ปลอดภัย แคสเปอร์สกี้แนะนำให้นายจ้างปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้:
กำหนดเวลาการฝึกอบรมความตระหนักด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงานของคุณ ซึ่งสามารถทำได้ทางออนไลน์ และควรครอบคลุมแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นเช่นการจัดการบัญชีและรหัสผ่านความปลอดภัยของอีเมลความปลอดภัยของอุปกรณ์ปลายทางและการท่องเว็บ แคสเปอร์สกี้ร่วมกับ Area9 Lyceum ได้จัดทำหลักสูตรฟรีเพื่อช่วยให้พนักงานทำงานอย่างปลอดภัยจากที่บ้านตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่น และบริการได้รับการอัพเดตด้วยแพตช์ล่าสุดติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันที่พิสูจน์แล้ว เช่น Kaspersky Endpoint Security Cloud ในอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมดรวมถึงอุปกรณ์มือถือ และเปิดไฟร์วอลล์ โซลูชั่นที่ใช้ควรครอบคลุมการป้องกันจากภัยคุกคามทางเว็บและอีเมล
สำหรับพนักงานและผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้านที่ต้องทำงานจากอุปกรณ์ส่วนตัว แคสเปอร์สกี้แนะนำดังนี้:
ใช้โซลูชั่นรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้เช่น Kaspersky Security Cloud เพื่อการป้องกันที่ครอบคลุมจากภัยคุกคามที่หลากหลายดาวน์โหลดเฉพาะเนื้อหาเพื่อการศึกษาและความบันเทิงจากแหล่งที่เชื่อถือได้อย่างเคร่งครัด
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำงานที่บ้านมีต่อคนทำงาน โปรดอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://www.kaspersky.com/blog/report-covid-wfh/35244/