กรุงเทพฯ--26 พ.ค.--ธนาคารไทยพาณิชย์
ไทยพาณิชย์จัดกระบวนทัพพนักงานสาขา รองรับการให้คำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้รวมทั้งเร่งพัฒนาระบบให้ลูกค้าสามารถติดต่อพักชำระหนี้ได้เองในระบบออนไลน์ เมื่อสถานการณ์ Covid-19 ดีขึ้น พบสาขาในห้างสรรพสินค้าที่กลับมาเปิดให้บริการเดือนพฤษภาคมหลังผ่อนคลายล็อกดาวน์ ลูกค้ากลับมาใช้บริการในสัดส่วนที่ใกล้เคียงก่อนช่วง Covid-19 ระบุสาขายังเป็นช่องทางนิยมสำหรับการฝากเงิน ชำระบิล และอัพเดทสมุดบัญชี ของลูกค้า
นายวิฑูรย์ พรสกุลวานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจ Integrated Channels ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ด้วยมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยเข้าสู่ช่วงสภาวะปกติ รวมถึงสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารคาดว่าในระยะถัดไป ลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก จะใช้บริการสาขาในเรื่องการขอคำปรึกษาการวางแผนทางการเงิน ตลอดจนการขอรับคำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น จึงได้เตรียมความพร้อมบุคลากรสาขาที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา รวมถึงได้พัฒนาระบบให้ลูกค้าสามารถติดต่อพักชำระหนี้ได้เองผ่านระบบออนไลน์อีกด้วย
สำหรับธุรกรรมการเงินทั่วไปนั้น พนักงานสาขาของธนาคารได้ให้บริการแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องพร้อมให้คำแนะนำในเรื่องการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านโมบายแบงก์กิ้ง SCB Easy ซึ่งลูกค้าสามารถทำรายการต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองทุกที่ทุกเวลาโดยที่ไม่ต้องเดินทางมาสาขา อาทิ การโอนเงิน การชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว และไม่เสียค่าธรรมเนียม สำหรับลูกค้าใหม่ยังสามารถเปิดบัญชีเงินฝากได้ที่ 7-Eleven ซึ่งสามารถใช้บริการฝากถอนเงินได้เช่นกัน
ปัจจุบันสาขาของธนาคารทั่วประเทศ 908 แห่งพร้อมเปิดให้บริการแล้ว โดยแบ่งเป็นสาขาที่อยู่นอกห้างสรรพสินค้า (Stand Alone) 586 สาขา และสาขาในห้างสรรพสินค้า (In-Mall) 322 สาขา โดยพบว่า ภาพรวมของธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมถึงการที่ธนาคารได้ดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขภาพอนามัยอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม พบว่า ลูกค้าเริ่มกลับมาใช้บริการสาขาในห้างสรรพสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงก่อนการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 สัดส่วนของลูกค้าที่มาใช้บริการสาขาในห้างสรรพสินค้าอยู่ที่ 60% และสาขา Stand Alone 40% ขณะที่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน ลูกค้าบางส่วนเปลี่ยนไปใช้บริการสาขาในกลุ่ม Stand Alone มากยิ่งขึ้น เนื่องจากสะดวกกว่าและเป็นการหลีกเลี่ยงในการเข้าไปยังสถานที่ที่มีคนหมู่มาก อย่างไรก็ตาม จากการที่ลูกค้าหันมาใช้บริการธุรกรรมการเงินผ่านดิจิทัลแบงก์กิ้ง มากขึ้น ประกอบกับมาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มีผลทำให้จำนวนปริมาณธุรกรรมของสาขาโดยรวมยังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือ ก่อนที่มีการประกาศล็อกดาวน์
อย่างไรก็ดี ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ พบว่า อันดับหนึ่ง ยังคงเป็นการฝากเงิน รองลงมา คือ การชำระบิล (Bill Payment) และอันดับสาม คือ การอัพเดทสมุดบัญชีเงินฝาก ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นธุรกรรมในห้างสรรพสินค้านั้น การฝากเงินยังคงเป็นธุรกรรมอันดับหนึ่ง รองลงมา คือ ชำระบิล (Bill Payment) ขณะที่สาขา Stand Alone นั้น ลูกค้ายังเน้นไปที่การฝากเงิน ตามมาด้วยการโอนเงินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งธุรกรรมการเงินดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้าที่จะมีการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 สะท้อนว่าสาขาของธนาคารยังคงมีความสำคัญต่อการทำธุรกรรมทางการเงินพื้นฐานของลูกค้าแม้ในยามมีโรคระบาด
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ธนาคารมีความห่วงใยในสุขภาพของลูกค้าที่มาใช้บริการสาขา โดยยังคงขอให้ลูกค้าปฏิบัติตามคำแนะนำตามมาตรฐานด้านสุขภาพอนามัยอย่างเคร่งครัด ซึ่งธนาคารได้ตั้งจุดสแกน QR Code เพื่อให้ลูกค้าเช็คอิน และเช็คเอาต์ ก่อนและหลังเข้าสาขาผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ และลูกค้าจะต้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารับบริการ รวมถึงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในระหว่างใช้บริการที่สาขา ทั้งนี้ ธนาคารขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในมาตรฐานการให้บริการและด้านสุขภาพอนามัยของสาขาธนาคารด้วยดีมาโดยตลอด