![พลังจิตอาสา “นักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการ” บ้านน้ำริน “ค้นหา-สนับสนุน-ช่วยเหลือ” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการ]()
กรุงเทพฯ--4 มิ.ย.--ไอแอมพีอาร์
บ้านน้ำริน
ตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่อ่องสอน เป็นชุมชนขนาดเล็กเพียง 183 ครัวเรือน อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 12 กิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ลีซู และมีกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่รวมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง
จากการสำรวจ
ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ในชุมชนแห่งนี้มีผู้พิการจำนวน 12 คน โดยส่วนใหญ่ทางครอบครัวของผู้พิการยังขาดความรู้ในเรื่องของสิทธิ์ต่างๆ ของผู้พิการและครอบครัวที่ควรจะได้รับ รวมไปถึงแนวทางการดูแลผู้พิการอย่างถูกต้อง และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ให้กับผู้พิการ
แต่ภายหลังจากที่ “นางสาวมณีรัตน์ หลีจา” และ “นายพายัพ มังกรชัยศิลป์” สองอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านน้ำริน (อสม.บ้านน้ำริน) ที่มีความสนใจในเรื่องของผู้พิการ และได้ไปเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนา “นักสร้าง
เสริมสุขภาวะคนพิการ” หรือ “นสส.” จาก โครงการพัฒนาศักยภาพนักสร้าง
เสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชนภาคเหนือ
พวกเขาจึงกลับมาสำรวจและจัดทำฐาน
ข้อมูลของผู้พิการในชุมชนหรือ ไอซีเอฟ (ICF) อย่างเป็นระบบ (International Classification of Functioning Disability and Health) พร้อมกับจัดทำ “โครงการพัฒนานักสร้าง
เสริมสุขภาวะคนพิการเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมบ้านน้ำริน” ขึ้นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับผู้พิการชุมชนของตนเอง โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักสร้างสรรค์โอกาส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง
เสริมสุขภาพ (สสส.)
“เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้ว่าคนที่พิการนั้นต้องการอะไรบ้าง เป็น อสม.ก็รู้แค่ว่าบ้านนี้มีคนพิการ แต่ภายหลังจากการไปอบรม นสส. มาแล้วก็ทำให้เปิดมุมมองใหม่ๆ ที่มีต่อผู้พิการ จากเดิมที่ไม่ค่อยได้รู้ว่าความรู้สึกลึกๆ ของคนพิการนั้นเขาต้องการอะไร คิดยังไง แต่พอได้นำเอาเครื่องมือ ICF มาใช้ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของเขาได้ และสามารถช่วยเหลือหรือสนับสนุนในสิ่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง” มณีรัตน์ กล่าว
เช่นเดียวกันกับ พายัพ มังกรชัยศิลป์ ที่บอกว่าพอทำฐาน
ข้อมูลต่างๆ และพบความต้องการที่แท้จริงก็จะนำไปสู่การหาหนทางในการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสถานที่บ้านเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าห้องน้ำได้อย่างสะดวก หรือวิธีการต่างๆ เพื่อทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“เมื่อค้นพบปัญหาและความต้องการ ก็จะพยายามหาหน่วยงานที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งการที่ได้ไปอบรม นสส. ทำให้เราได้พบช่องทางใหม่ๆ ในการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ และแนวทางใหม่ๆ ในการช่วยเหลือผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล พัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ พัฒนาชุมชน หรือแม้แต่หน่วยงานด้านการเกษตร ซึ่งทำให้งานของ นสส. กว้างขึ้น พบปะผู้คนหลากหลายมากขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถช่วยเหลือดูแลคนพิการได้มากขึ้นด้วย” พายัพ กล่าว
งานลำดับแรกๆ ที่ นสส.บ้านน้ำรินได้ดำเนินงาน นอกจากการสำรวจความต้องการของผู้พิการ ก็คือการทำให้ผู้พิการเข้าถึง “สิทธิ์” ต่างๆ ที่ควรได้รับ เพื่อให้พวกเขาได้มี “บัตรประจำตัวคนพิการ” ที่จะได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือรายเดือน รวมไปถึงงบประมาณจากหน่วยงานต่างๆ ในการเข้ามาฟื้นฟูปรับปรุงดูแลคุณภาพชีวิตของคนพิการและผู้แลให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ผู้พิการในชุมชนบ้านน้ำรินทุกคนได้รับและเข้าถึงสิทธิ์และสวัสดิการต่างๆ จากภาครัฐอย่างครบถ้วน
“เรามีเป้าหมายในการสร้าง นสส. ในชุมชนเพิ่มเป็น 10 คน ถามว่าเพราะอะไรในเมืองมีคนพิการไม่กี่คน ตรงนี้ถ้าเรามีคนที่มีความรู้มีความเข้าใจตัวผู้พิการในชุมชนมากขึ้น แน่นอนว่าจะสามารถดูแลคนพิการทุกคนได้อย่างทั่วถึง แต่มีอีกคนหนึ่งที่สำคัญที่เราต้องดูแลก็คือ ผู้ดูแลคนพิการ การมี นสส. ก็จะทำให้เราสามารถไปเยี่ยมเยียนพูดคุยให้กำลังใจผู้พิการ ผู้ดูแล และครอบครัวได้บ่อยมากขึ้น เพราะเรื่องของกำลังใจนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะบางครั้งคนที่ดูแลก็มีภาวะซึมเศร้า และการที่มีคนทำงานหลายคนก็จะสามารถช่วยทำงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว” มณีรัตน์ ระบุ “การเป็น นสส. นั้นจะมีความรู้ต่างๆ ที่มากกว่า อสม. ทั้งเรื่องการทำกายภาพบำบัด การนวดแผนโบราณ การรักษาแผล ดูแลแผลกดทับสำหรับผู้พิการ ซึ่งนอกจากเราจะช่วยผู้พิการในชุมชนได้แล้ว ความรู้ที่เรามียังสามารถนำไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ในชุมชนได้” พายัพ กล่าว
ปัจจุบันแม้ว่าคนพิการทั้งหมดในชุมชนจะเข้าถึงสิทธิ์และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และดูเหมือนว่างานของ นสส. น่าจะหมดลงไป แต่ทั้ง “มณีรัตน์” และ “พายัพ” ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาอยากเห็นคนพิการและคนในครอบครัวของคนพิการมีความสุข อย่างน้อยสิ่งที่ทั้งคู่ได้ทำอยู่ก็สามารถกระตุ้นให้คนในชุมชนหันมาใส่ใจ และสนใจดูแลรักษาสุขภาพของตนเองมากขึ้น เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่างๆ ที่จะพาตัวเองไปเป็นคนพิการในอนาคต
“เป้าหมายจริงๆ ผมอยากเห็นผู้พิการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น จากเดินไม่ได้ก็อยากเห็นเขาเดินได้ อยากให้การทำงานของเราเป็นตัวอย่างให้คนในชุมชนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีความเสี่ยงในการจะเป็นคนพิการน้อยลง บางคนอาจจะเลือกการไปทำบุญที่วัด แต่ผมเลือกที่จะทำบุญกับคนพิการและผู้ยากไร้ ซึ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขได้เช่นกัน” พายัพ ระบุ
“อยากให้ทุกคนหายกลับมาเป็นปกติ อยากเห็นทุกคนมีรอยยิ้ม บางครั้งการที่เขามีความสุขไม่ได้เกิดจากการมีเงินไปมอบให้ แค่การไปเยี่ยมเยียนพูดคุยให้กำลังใจ เขาก็มีความสุขแล้ว ซึ่งรอยยิ้มของคนพิการและครอบครัวก็คือความสุขของเราด้วยเช่นกัน” มณีรัตน์ กล่าวสรุป
การที่ “นักสร้าง
เสริมสุขภาวะคนพิการ” นำองค์ความรู้ต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือและฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการอย่างมีส่วนร่วมกับสมาชิกในครอบครัวและคนในชุมชนบ้านน้ำรินแห่งนี้ นอกจากจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้พิการในชุมชนดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ครอบครัวของผู้พิการและสมาชิกในชุมชน มีความรู้และเกิดความตระหนักในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนบ้านน้ำรินสามารถยกระดับและพัฒนาไปสู่การเป็นชุมชนที่มีสุขภาวะอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต.