กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
'ทีวี ไดเร็ค’ พร้อมผนึกกำลังเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ยักษ์ใหญ่ 'โมโม่ ดอทคอม’ ผู้นำธุรกิจ โฮมช้อปปิ้งและอี-คอมมิร์ซจากไต้หวัน หลังได้รับไฟเขียวจากผู้ถือหุ้นทีวี ไดเร็ค เป็นที่เรียบร้อย เตรียมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีซอฟท์แวร์ พัฒนาแพลตฟอร์มและกลยุทธ์การขายสินค้า เพื่อขยายฐานลูกค้าอย่างเต็มที่ในทุกช่องทางจำหน่ายทั้งทีวีและออนไลน์ ตลอดจนตั้งเป้าเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์จากไต้หวันและในไทยอีกเท่าตัวเป็นกว่า 10,000 รายการ พร้อมวางแผนลดความซ้ำซ้อนกระบวนการทำงานภายในองค์กร ระหว่าง ทีวี ไดเร็ค และทีวีดี ช้อปปิ้ง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายธนะบุล มัทธุรนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่าน Omni Channel เปิดเผยว่า พร้อมเดินหน้าผนึกความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและอี-คอมเมิร์ช คือบริษัท โมโม่ดอทคอม จำกัด หรือ Momo.com Inc. (MOMO) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ในประเทศไต้หวัน ที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ทีวี ไดเร็ค จากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในด้านต่างๆ หลังจากบริษัทฯ เพิ่งได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ให้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 114,773,458 หุ้น หรือคิดเป็น 15% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเพิ่มทุน เพื่อขายให้แก่ MOMO ในราคาหุ้นละ 1.13 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 129.69 ล้านบาท และบริษัทฯ จะชำระเงินอีกจำนวน 23.2 ล้านบาทให้แก่ MOMO เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการขายหุ้น 35% ใน ทีวีดี ช้อปปิ้ง แก่บริษัทฯ
จากความร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจดังกล่าว บริษัทฯ ยังสามารถนำจุดแข็งของ MOMO ในธุรกิจ โฮมช้อปปิ้งและการเสนอขายสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ เข้ามาเพิ่มศักยภาพให้แก่ธุรกิจได้ ทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการจำหน่ายสินค้า การนำระบบซอฟต์แวร์จากพาร์ทเนอร์เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพเพื่อวางแนวทางการตลาดใหม่ๆ และความร่วมมือพัฒนากลยุทธ์การขยายตลาดในประเทศไทย
นอกจากนี้ ภายใต้ความร่วมมือกับ MOMO บริษัทฯ สามารถผสมผสานความร่วมมือในการจัดหาสินค้า เพื่อเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่างๆ ที่มีความหลากหลาย โดยภายในสิ้นปีนี้ต้องการเพิ่มสินค้าขึ้นเป็นกว่า 10,000 รายการ จากปัจจุบันที่มีสินค้า 4,000-5,000 รายการ พร้อมเดินหน้าขยายช่องทางขายทุกช่องทาง ทั้งทีวี และแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ บริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดทีวีโฮมชอปปิ้งในไทย
ทั้งนี้ MOMO เป็นบริษัทฯ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจโฮมช้อปปิ้งที่ก่อตั้งเมื่อปี 2547 ก่อนขยายเข้าสู่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ช ผ่านช่องเว็บไซต์ โมบาย แอปพลิเคชั่นและโซเชียล มีเดีย เช่น www.momomall.com.tw, www.momoshop.com.tw, momomall’s official Line account เป็นต้น ซึ่งเป็นเว็บไซต์ชั้นนำด้านอี- คอมเมิร์ชในไต้หวันที่มีสินค้าหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ และได้รับรางวัลมากมายด้านแพลตฟอร์มการขายสินค้าอี-คอมเมิร์ซจากหน่วยงานต่างๆ ในไต้หวัน นอกจากนี้ MOMO มีแผนเพิ่มศักยภาพการแข่งขันโดยการสร้างความแตกต่างด้านการให้บริการ ทั้งการจัดส่งสินค้าและบริการติดตั้งรวมถึงพัฒนาการรับประกันสินค้าหลังการขาย ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายของสินค้าบนเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง
“โมโม่ดอทคอม อิงค์ ในปัจจุบันเป็นบริษัทชั้นนำที่เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดทีวีโฮมชอปปิ้งของไต้หวัน โดยมีช่องทีวีโฮมช้อปปิ้งภายใต้ชื่อ Fubon momo TV ในไต้หวัน มีสินค้าในพอร์ตกว่า 2 ล้านรายการ มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซภายใต้ชื่อ momoshop นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นในปี 2557 โดยมียอดดาวน์โหลด กว่า 1 ล้านคน และติด 3 อันดับแรกของแอปพลิเคชั่นในหมวดซื้อขายสินค้าใน Google Play นอกจากนี้ยังเข้าลงทุนในธุรกิจหลักอื่นๆ ในไต้หวัน เช่น ธุรกิจเทเลคอม ค้าปลีก ฯลฯ จึงเชื่อว่าด้วยศักยภาพของ MOMO จะเข้ามาเสริมความแข็งแรงให้แก่บริษัทฯ ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการจัดหาสินค้า วางแผนพัฒนาตลาดร่วมกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดทีวีโฮมชอปปิ้งแก่ TVD” นายธนะบุล กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการจัดโครงสร้างการบริหารงานภายในของ ทีวี ไดเร็ค และ ทีวีดี ช้อปปิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อลดกระบวนการทำงานภายในที่มีความซ้ำซ้อน ซึ่งจะทำให้ทั้ง 2 บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนด้านดำเนินงาน และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจซึ่งกันและกัน โดยแผนงานดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการแล้วบางส่วนตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา เช่น การลดค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ จากแนวทางดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลดีต่อการปรับลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานภายในองค์กรและเพิ่มความคล่องตัวใน การดำเนินธุรกิจ โดยวางแผนว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ลดลง 4-5% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มขีดความสามารถการทำกำไรที่ดีขึ้นในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้