![GBS ชี้หลังคลาย Lockdown การท่องเที่ยวฟื้น แนะ 5 หุ้นเด่น ERW-CENTEL- AOT-AAV-BA น่าจับตา]()
กรุงเทพฯ--9 มิ.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.โกลเบล็ก มองหลังคลาย Lockdown ส่งผลภาค
การท่องเที่ยวฟื้นตัว บรรดาผู้ประกอบการแห่ออกแพ็กเกจกระตุ้นการเที่ยวในประเทศ แนะจับตา 5 หุ้น ERW-CENTEL-
AOT-AAV-BA ส่อแววรับอานิสงส์เต็มๆ พร้อมประเมินกรอบดัชนีการลงทุนแกว่งตัว Sideway Up ที่ระดับ1,430-1,475 จุด ขานรับข่าวดี
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของ
สหรัฐเพิ่มขึ้น และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหลังกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงขยายเวลาลดการผลิตต่ออีก1 เดือน ถึง ก.ค.นี้
บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด ประเมินทิศทางการลงทุนในขณะนี้ว่า หลังจากที่มีการคลาย lockdown เฟส3 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ภาคการลงทุนเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะ
การท่องเที่ยวที่ส่อแววจะเริ่มกลับมาคึกคัก โดยจะเห็นเหล่าบรรดาผู้ประกอบการทยอยออกแพ็กเกจท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นให้คนกลับมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น หลังจากประสบปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จนทำให้ธุรกิจเกิดการชะลอตัวตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม2563ที่ผ่านมา ดังนั้นฝ่ายวิจัย มองว่าหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์ต่อกรณีดังกล่าวคงหนีไม่พ้นกลุ่มท่องเที่ยว ทำให้ทางบล.โกลเบล็ก จึงคัด 5 หุ้นที่น่าจับตา ได้แก่ ERW, CENTEL,
AOT, AAV และ BA ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการออกแพ็กเกจกระตุ้น
การท่องเที่ยวในประเทศ นอกจากนี้ ยังได้มองว่า ในวันที่ 22มิ.ย.นี้ จะมีหุ้นที่จะได้เข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Large Cap Index รอบใหม่ อย่าง CRC และ DIF เข้ามาสร้างสีสัน
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway Up โดยมองกรอบดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,430-1,475 จุดโดยแรงหนุนจาก
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่ง สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้ว่าการจ้างงานอาจลดลง 8.33 ล้านตำแหน่ง ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงปลายเดือนก.ค. ประกอบกับหลายประเทศทยอยผ่อนคลาย lockdown ทำให้อุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งหนุนให้หุ้นกลุ่มพลังงานฟื้นตัว
อย่างไรก็ตามจากระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยในปัจจุบันมีการซื้อขายที่ระดับ P/E 20 เท่า ซึ่งสูงสุดในภูมิภาค จึงเป็นสาเหตุทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน และหันไปลงทุนประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน อีกทั้งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบจากปลายไตรมาส 1/2563 ส่งผลลบต่อการส่งออกและหากยังแข็งค่าต่อเนื่องกังวลว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเข้าแทรกแซงในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อป้องการการส่งออกหดตัว
นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาอียูเปิดเผย GDP ไตรมาส 1(ประมาณการครั้งสุดท้าย) รวมทั้งการเปิดเผยความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนพ.ค. สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนเม.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนเม.ย.ของ
สหรัฐ และวันที่ 10 มิ.ย.จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) และจีนเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค.ส่วน
สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
สหรัฐ (FOMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย (เช้าวันที่ 11 มิ.ย.)
ขณะเดียวกันในวันที่ 11 มิ.ย.
สหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. และวันที่ 12 มิ.ย. ญี่ปุ่นเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. รวมทั้งอียูเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. และ
สหรัฐเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.
สำหรับราคาทองคำในสัปดาห์นี้ยังคงผันผวนในกรอบ 1,670-1,715 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือ 24,910-25,640 บาทต่อบาททองคำ โดยเล่นเก็งกำไรในกรอบดังกล่าว แต่หากหลุดแนวรับที่ 1,670 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ให้ขายออกทันที