กรุงเทพฯ--11 มิ.ย.--พรินซิเพิล
บลจ.พรินซิเพิล มองตลาดหุ้นไทยยังสามารถลงทุนเพื่อการออมในระยะยาว แม้ดัชนีปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,400 จุด หลังประเทศไทยจัดการปัญหาแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดี เตรียมผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 4 และออกมาตรการ เพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและท่องเที่ยวภายในประเทศ และความคาดหวังเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ จะฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ชูกองทุน PRINCIPAL SET50SSF-SSFX ลงทุนหุ้น SET50 ทางเลือกเพื่อการออมเงินและลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยกองทุนให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (14 เม.ย.- 5 มิ.ย. 2563) ที่ 7.31% เกณฑ์มาตรฐานชี้วัดที่ 7.74% สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ถึง 30 มิ.ย.นี้
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนี SET Index ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2563 ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,400 จุด จากที่ลงไปทำจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม 2563 (13 มีนาคม 2563) ที่ผ่านมาที่ 969.08 จุด หลังจากประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ได้อย่างดี และมีการทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้กิจการต่างๆ กลับมาเปิดดำเนินการได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนลดลง เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ในไทยและบางประเทศเข้าสู่ระดับที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และเริ่มเห็นการเปิดดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น สำหรับประเทศไทยคาดว่าภาครัฐจะพิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ระยะที่ 4 ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้ และเตรียมออกมาตรการต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ อาทิ การปลดล็อกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกรกฏาคมนี้, การเสนอมาตรการแจกคูปองส่วนลดที่พักและแพ็คเกจไทยเที่ยวไทย, การนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศไปลดหย่อนภาษีเงินได้ ฯลฯ
ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนจากภายนอกประเทศ คือ ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยการใช้นโยบาย QE อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ การประกาศตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาถือว่าดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) รอบล่าสุด หลังจากก่อนหน้านี้ FED ได้ออกมาตรการสนับสนุนด้านการเงินไปมากแล้ว
นายจุมพล กล่าวว่า แม้ SET Index ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหุ้นไทยยังคงเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว โดยสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษหรือ Super Savings Fund Extra Class (SSFX) ซึ่งสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เท่านั้น เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติมในปีนี้ (ไม่รวมกับวงเงินซื้อหน่วยลงทุนกองทุนเพื่อการออม หรือ SSF แบบปกติ)
นับตั้งแต่ที่ทาง บลจ.พรินซิเพิล เปิดเสนอขาย กองทุนกองทุนเปิดพรินซิเพิล เซ็ท 50 อินเด็กซ์เพื่อการออม ชนิดเพื่อการออมพิเศษ Super Savings Fund Extra Class (PRINCIPAL SET50SSF-SSFX) กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยนับจากจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนฯ 14 เมษายน ถึง 5 มิถุนายน 2563 ให้อัตราผลตอบแทน 7.31% SET50 TRI Index 100% ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานชี้วัด มีอัตราผลตอบแทน 7.74%
“ในเดือนมิถุนายนนี้กองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ SSFX จะสิ้นสุดระยะเวลาซื้อหน่วยลงทุนภายในสิ้นเดือนนี้ ดังนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพื่อการออมเงินในระยะยาวแล้ว ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์จากทั้งการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้เต็มสิทธิ์สูงถึง 200,000 บาทหรือตามจำนวนเงินลงทุนของผู้ลงทุน ซึ่งถือว่ามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและยังได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติม ” นายจุมพล กล่าว
ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal.th
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนผู้ลงทุนโปรดศึกษาเงื่อนไขการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ หรือหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออมพิเศษ(SSFX) ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 357 (พ.ศ.2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 10 มีนาคม 2563 โดยเป็นไปตามเกณฑ์กรมสรรพากรกำหนด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในคู่มือการลงทุน/หนังสือชี้ชวน/หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ให้เข้าใจและควรเก็บไว้เป็นข้อมูล เพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต และเมื่อมีข้อสงสัยให้สอบถามผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนให้เข้าใจก่อนซื้อหน่วยลงทุนผู้ลงทุนไม่สามารถนำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการออมไปจำหน่าย จ่าย โอน จำนำ หรือนำไปเป็นประกันการลงทุนในกองทุนเพื่อการออมผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนครบตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นอาจส่งผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องชำระคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น ผู้ลงทุนมีหน้าที่ต้องศึกษาและปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎหมายภาษีอากรในช่วงแรกบริษัทจัดการยังไม่เปิดให้ขายคืน/สับเปลี่ยนออก โดยจะเริ่มรับคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุนหรือสับเปลี่ยนออกตั้งแต่วันทำการแรกของเดือนมกราคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงบริษัทจัดการจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์บริษัทจัดการ