กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--วารีวิทยา
สีของน้ำทิ้งที่ขุ่นดำ และกลิ่นที่ไม่โสภานัก แม้ผ่านการบำบัดแล้วในระดับหนึ่ง ที่ผ่านมาอาจถูกตั้งข้อรังเกียจ แต่ถ้ามองอีกมุมจะพบว่า “น้ำเสีย” ที่ว่าเมื่อนำมาปรับสภาพแล้ว นำกลับมาใช้ใหม่ทดแทนการใช้น้ำประปาสำหรับการอุปโภค เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม สามารถเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งในพื้นที่ EEC ได้
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนการบริหารจัดการน้ำ การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ จึงเป็นอีกกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการใช้ลงอย่างน้อย 15% ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง จะทำให้เมืองเติบโตทั้งภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว รวมทั้งภาคเกษตรกรรม หนีไม่พ้นปัญหาน้ำเสียจากทุกภาคส่วนที่จะตามมา
รศ.ดร.ชวลิต รัตนธรรมสกุล หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยนวัตกรรมการบำบัดของเสียและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการ “การพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมและเมือง โดยการใช้น้ำเสียที่บำบัดแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ในพื้นที่ EEC” กล่าว่า EEC เป็นพื้นที่กำลังพัฒนา หนีไม่พ้นปัญหาน้ำที่มีปริมาณไม่เพียงพอ เบื้องต้นมีการวิเคราะห์กันว่า ความต้องการน้ำในอนาคตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ทุกวันนี้ความต้องการน้ำในภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวรวมทั้งการอุปโภคบริโภคของ 3 จังหวัดในพื้นที่ EEC มีประมาณมากกว่า 800 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และอีก 20 ปีข้างหน้าความต้องการน้ำในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นและมีมากกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จึงมีโอกาสเกิดความขาดแคลนแน่นอนหากไม่มีการหาแหล่งน้ำต้นทุนใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการน้ำในปริมาณที่เพิ่มขึ้น
“โจทย์อันนหนึ่งของงานวิจัยนี้ คือ การหาแหล่งน้ำทดแทนน้ำประปาไม่น้อยกว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จากการศึกษาและสำรวจข้อมูล พบว่า ในพื้นที่ EEC มี“น้ำทิ้ง”หรือน้ำเสีย ที่มีศักยภาพสามารถนำมาบำบัดเอากลับมาใช้ใหม่ได้ จาก 2 แหล่งใหญ่ คือ น้ำเสียจากการอุปโภคบริโภคทั้งในภาคชุมชนและภาคบริการ และน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม ที่จะช่วยลดการใช้น้ำประปาลงได้ โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2580 จะมีน้ำเสียจากภาคชุมชนเกิดขึ้นประมาณ 859,280 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน (313.64 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี) แบ่งเป็น ชลบุรี 456,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน , ฉะเชิงเทรา 164,380 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และระยอง 238,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หากสามารถรวบรวมมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จะเป็นแหล่งน้ำต้นทุนใหม่ในพื้นที่ EEC ได้ในปริมาณที่มากพอสมควร และยังมีราคาถูกกว่าการทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด ”
ตัวอย่างเช่น จังหวัดชลบุรีมีน้ำเสียจากชุมชนที่เข้าสู่ระบบบำบัดส่วนกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากมีสถานประกอบการ โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารสำนักงานค่อนข้างมาก ข้อดีคือ น้ำเสียของภาคอุปโภคบริโภค ชุมชน และภาคบริการ มีการรวบรวมน้ำเสียเข้าสู่ระบบบำบัดในปริมาณมาก เช่น ระบบบำบัดน้ำเสียเมืองพัทยา ระบบบำบัดน้ำเสียเทศบาลเมืองแสนสุข ตัวเลขของน้ำเสียที่เข้าสู่ระบบบำบัดส่วนกลางมีมากถึง 80% ซึ่งถ้ามีการปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งเพิ่มเติมให้กลายเป็นน้ำรีไซเคิลตามมาตรฐานสากล ก็จะสามารถส่งเสริมให้นำน้ำกลับมาใช้ทดแทนน้ำประปาบางส่วนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การประหยัดน้ำที่ต้นทางของกลุ่มอาคารธุรกิจขนาดใหญ่ โรงแรมและสถานบริการที่พัก ห้างสรรพสินค้าโดยการติดตั้งชุดสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลดการใช้น้ำต้นทางได้อีกประมาณ 5-15% และจะได้มากกว่านี้ถ้ามีการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำอย่างจริงจังในพื้นที่ EEC
เช่นเดียวกับจังหวัดระยอง ซึ่งมีความต้องการใช้น้ำโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมสูงกว่า 200 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ฉะนั้นหากมีการบำบัดน้ำเสียแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ตัวเลขน้ำรีไซเคิลจะสูงมาก ปัจจุบันนี้มีนิคมอุตสาหกรรมบางแห่งที่ใช้น้ำปริมาณมากเริ่มให้ความสนใจถึงแนวทางการนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อแก้ปัญหาน้ำขาดแคลน จากการสำรวจและให้คำปรึกษาในภาคสนามพบว่ามีนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งที่มีศักยภาพในการดำเนินการรีไซเคิลน้ำ สามารถรีไซเคิลน้ำเสียได้มากกว่า 15% ของน้ำใช้ และค่าน้ำรีไซเคิลก็มีราคาถูกกว่า โดยบางโรงงานที่ใช้น้ำปริมาณมากได้แก่โรงงานประเภทอาหารและเครื่องดื่มเมื่อลงทุนติดตั้งระบบรีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่พบว่าสามารถประหยัดน้ำได้มากกว่า 15% และน้ำรีไซเคิลช่วยให้ประหยัดค่าน้ำประปาได้ถึง 7 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ภาคชุมชน จากการสำรวจน้ำทิ้งจากเทศบาลนครระยอง เทศบาลมาบตาพุดพบว่ามีคุณภาพค่อนข้างดี สามารถปรับสภาพน้ำเพิ่มเติมก็จะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ในพื้นที่รอบๆ ได้ เป็นต้น
นั่นหมายความว่านอกจากจะลดปริมาณน้ำทิ้ง เพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและสถานประกอบการอีกด้วย!
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่สำรวจเก็บข้อมูลทั้งภาคอุปโภคบริโภค ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ได้แนวทางการจัดการระบบบำบัดน้ำเสียที่เหมาะสมสำหรับชุมชนและอุตสาหกรรม โดยมี 3 แนวทางเพื่อการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ของเมือง ได้แก่
แนวทางที่ 1 คือระบบบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ สำหรับชุมชนระดับเมือง ซึ่งจะมีปริมาณน้ำเสียค่อนข้างมาก โดยเพิ่มระบบการปรับสภาพน้ำ สามารถนำน้ำที่ได้กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ของเมือง, แนวทางที่ 2 คือ ระบบบำบัดน้ำเสียแบบรวมหรือแบบกลุ่ม (Cluster Treatment) เป็นระบบบำบัดน้ำเสียขนาดเล็ก เหมาะกับชุมชนที่มีพื้นที่จำกัด สำหรับพื้นที่ที่มีน้ำเสียเข้าสู่ระบบบำบัด 500-1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เช่น ที่เทศบาลนครระยอง ซึ่งทั้งโมเดลที่ 1 และ 2 เป็นระบบที่เหมาะกับพื้นที่ EEC และสามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนแนวทางที่ 3 ระบบบำบัดน้ำเสียแบบ Individual เป็นโมเดลสำหรับสถานประกอบการแต่ละอาคาร ทว่าข้อจำกัดของระบบนี้คือ อาคารในปัจจุบันมีเพียงท่อประปาท่อเดียว ไม่มีท่อแยกสำหรับน้ำรีไซเคิล
แต่ในอนาคตเมื่อคำนึงถึงการสร้างเมืองใหม่ สมาร์ท ซิตี้ สามารถทำได้ทั้งสามรูปแบบ ซึ่งโดยทั่วไปตามอาคารใหญ่ๆ อย่าง โรงแรม อาคารธุรกิจหรือห้างสรรพสินค้า ตัวเลขการใช้น้ำจำนวนมากจะมาจากสุขภัณฑ์ ถ้าอาคารใหม่มีการออกแบบแยกระบบท่อน้ำรีไซเคิลกับท่อน้ำประปาออกจากกันก็จะเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำรีไซเคิลในอาคารหรือการนำน้ำรีไซเคิลของเมืองหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อีกจำนวนมาก จึงต้องมีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำรีไซเคิลที่ปลอดภัยสร้างความมั่นใจกับผู้ใช้น้ำ ซึ่งตัวอย่างความสำเร็จมีให้เห็นแล้วในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน เป็นต้น ยกตัวอย่างกรณีการนำน้ำรีไซเคิลของเมืองหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ในอาคารสูงย่านธุรกิจใหม่ในกรุงโตเกียวเป็นกรณีที่มีการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ปริมาณมากในพื้นที่กว้างที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืนโดยมีการดำเนินการมานานกว่า 10 ปี ทั้งนี้อาคารใหม่ในพื้นที่มีการออกแบบกำหนดให้แยกระบบท่อน้ำรีไซเคิลกับท่อน้ำประปาออกจากกัน (ดังรูปที่1)
จากการคาดการณ์ศักยภาพปริมาณน้ำต้นทุนที่ประหยัดได้ของทุกภาคส่วนในพื้นที่ EEC สามารถพิจาณาได้ 2 กรณี คือ กรณีแรกเมื่อภาคอุตสาหกรรมลดได้ 15% ภาคอุปโภคบริโภคและภาคบริการลดได้ 10% ภาคเกษตรลดได้ 10% และมีศักยภาพของต้นทุนน้ำรีไซเคิลของเมืองที่มีปริมาณน้ำเสียมากกว่า 40,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากบ่อบำบัดน้ำเทศบาล จำนวน 7 แห่ง พบว่า จะสามารถประหยัดน้ำต้นทุนได้มากกว่า 600 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือคิดเป็น 19.43% ในปี 2580 (ดังรูปที่ 2) ส่วนในกรณีที่สอง เมื่อภาคอุตสาหกรรมลดได้ 10% ภาคอุปโภคบริโภคและภาคบริการลดได้ 10% ภาคเกษตรลดได้เพียง 5% และมีศักยภาพของต้นทุนน้ำรีไซเคิลของเมืองที่มีปริมาณน้ำเสียมากกว่า 40,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากบ่อบำบัดน้ำเทศบาล จำนวน 7 แห่งพบว่าจะสามารถประหยัดน้ำต้นทุนได้ถึง 465 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือคิดเป็น 16.13% ในปี 2580 (ดังรูปที่ 3) จะเห็นว่าน้ำต้นทุนที่ประหยัดได้นี้จะช่วยลดปัญหาน้ำขาดแคลนในพื้นที่ EEC เมื่อมีการพัฒนาเมืองค่อนข้างสมบูรณ์แบบแล้ แต่การนำน้ำรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ให้สัมฤทธิ์ผลอย่างจริงจัง จะต้องพิจารณาครอบคลุมทั้งมิติด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และสังคม \
รศ.ดร.ชวลิต เสนอว่า จะต้องมีมาตรการทั้งผลักและดัน เช่นแนวทางการจัดการทางเทคนิคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำอีก 15% ในภาคอุตสาหกรรม จะต้องมีการกำหนดคุณภาพและมาตรฐานของน้ำรีไซเคิลให้เหมาะกับกิจกรรม เช่น เพื่อการหล่อเย็นและใช้ประโยชน์อื่นๆในระบบอุตสาหกรรม เพื่อใช้กับพื้นที่สีเขียว หรือการใช้น้ำกับระบบสุขภัณฑ์ เป็นต้น
ทางด้านกฎหมาย เสนอให้มีการผลักดันข้อกฎหมายใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลดการใช้น้ำและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ในพื้นที่ EEC ประกอบด้วย พ.ร.บ.ส่งเสริมการประหยัดน้ำ เช่น ส่งเสริมการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ ฯลฯ พ.ร.บ.ส่งเสริมการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และ พ.ร.บ.การกักเก็บน้ำฝนในอาคารและสถานประกอบการ ซึ่งกฎหมายทั้งสามนี้ ถ้าเกิดขึ้นได้จริงจะเป็นการประหยัดน้ำต้นทุนของเมือง ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งระบบรีไซเคิลน้ำ ระบบการเก็บน้ำฝนมาใช้ประโยชน์ และเกิดการสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสิ่งแวดล้อม
ในด้านเศรษฐกิจนั้น เป็นการมองเรื่องของความคุ้มทุนในการลงทุนระบบรีไซเคิลน้ำ ที่ไม่เพียงช่วยลดปริมาณน้ำทิ้ง ยังได้น้ำประปาที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับค่าน้ำประปาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นการตอบโจทย์การมีแหล่งน้ำต้นทุนใหม่ ขณะเดียวกันก็มองแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนยอมรับการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ด้วยเช่นกัน โดยมาตรการเหล่านี้คือ ด้านเทคนิคและกฎหมาย ด้านเศรษฐศาสตร์ และสังคม ต้องไปด้วยกันทั้งสามมิติ รศ.ดร.ชวลิต กล่าว เพื่อว่าแต่นี้ไปน้ำเสียจะต้องไม่ปล่อยทิ้งสู่แหล่งน้ำอย่างเปล่าประโยชน์