กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--บางกอก ออทัม
ตามที่บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ W ได้เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงแผนการเข้าลงทุนในธุรกิจพิซซ่าจากประเทศสหรัฐอเมริกา “DOMINO’S PIZZA” ซึ่งแม้จะเป็นแบรนด์ที่คุ้นหูคอพิซซ่า และมีกลุ่มแฟนคลับเดิมในประเทศไทยอยู่บ้างแล้ว แต่การเข้าลงทุนในครั้งนี้ของ W ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนชื่อบริษัทและชื่อย่อหลักทรัพย์มาหมาดๆ จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับธุรกิจอาหารในประเทศไทยอย่างไร วันนี้ได้รับเกียรติจากคุณศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ ในฐานะกรรมการและ CFO ของ W ซึ่งจะมาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในครั้งนี้
โดยคุณศิรัตน์ ได้ให้ข้อมูลว่า “DOMINO’S PIZZA” เป็นแบรนด์พิซซ่าจานด่วนสัญชาติอเมริกา ที่มีจุดเด่นในการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และการให้บริการที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย และเป็นแบรนด์ที่มีความเป็น Neighborhood Restaurant สูงมาก โดย Model ธุรกิจ “DOMINO’S PIZZA” เป็นการดำเนินธุรกิจใน รูปแบบแฟรนไชส์ (franchising QSR pizza) ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ของ W จะเป็นการซื้อกิจการร้านพิซซ่าจากเจ้าของเดิมในประเทศไทย และการเข้าทำสัญญาสิทธิการค้ากับ DOMINO’S PIZZA INTERNATIONAL FRANCHISING INC. หรือ “DPI” เพื่อให้ได้สิทธิในการเปิดร้าน “DOMINO’S PIZZA” แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยคุณศิรัตน์ได้บอกเล่าถึงความมั่นใจในการลงทุนในครั้งนี้ของ W ว่า ”บริษัทมีการพิจารณาโครงการลงทุนในครั้งนี้มาตั้งแต่ต้นปี 2562 โดยผมเป็นหนึ่งในทีมบริหารที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชมและสังเกตการณ์ร้าน “DOMINO’S PIZZA” ในหลายประเทศ รวมทั้งที่ประเทศต้นทางคืออเมริกา บวกกับการที่ทีมงานและผู้บริหารได้มีการหารือกับ DPI อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จึงมีความมั่นใจว่าการลงทุนในครั้งนี้จะได้รับความสำเร็จจากปัจจัยดังนี้
DPI ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิการค้า “DOMINO’S PIZZA” มีความเชี่ยวชาญและช่ำชองในธุรกิจ franchising QSR pizza เป็นอย่างมาก โดยหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าว่าธุรกิจจริงๆ ของ DPI คือ franchising ที่ผมพูดแบบนี้เนื่องจาก ปัจจุบันร้าน “DOMINO’S PIZZA” มีทั้งหมดราว 17,000 สาขาทั่วโลก โดยเป็นร้านที่บริหารโดย DPI เพียง 345 สาขา และที่เหลือบริหารโดยผู้รับสิทธิการค้า (Franchisee) จาก DPI แต่ปรากฎว่า DPI มี EBITDA และ กำไร เท่ากับ 693 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับในปี 2562 และราคาหุ้นของ DPI มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับหลายๆ บริษัทในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึง Know how และ Platform การทำธุรกิจ franchising QSR pizza ของ DPIDPI มี Know how ในการแก้ไขปัญหาและเอาชนะอุปสรรค ซึ่งอย่างที่รู้กันดีว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบธุรกิจ อาหารส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการแย่งส่วนแบ่งการตลาดอย่างรุนแรงผ่านทาง Food Aggregator แต่ด้วย Platform ที่ชัดเจนในการทำธุรกิจ สุดท้าย DPI ก็สามารถกลับมาทำกำไรแตะจุดสูงสุดได้ในปี 2019 ที่ นอกจากนี้ ทีมงานของ DPI ยังมีประสบการณ์ในการพลิกฟิ้นธุรกิจ pizza QSR ในหลายๆ ประเทศ ซึ่งที่ทีมงานและผู้บริหารได้ไปเยี่ยมชมด้วยตัวเองมาแล้วคือที่ มาเลเซีย เวียดนาม และยังได้ไปเยี่ยมชมสาขาในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดอีกด้วยDPI มีโครงสร้างการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับผู้รับสิทธิการค้า หรือ Master Franchisee ที่สมเหตุสมผล ซึ่งจะเห็นได้จากการที่มี Master Franchisee หลายๆ ราย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในธุรกิจ “DOMINO’S PIZZA” มี market cap มากกว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและมีสาขาเกิน 1000 สาขา ยกตัวอย่างเช่น Domino’s Pizza Enterprises Ltd. Master Franchisee ในประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และ Jubilant Food Works Ltd.master franchisee ในประเทศ อินเดียการลงทุนครั้งนี้บริษัทจะได้มาซึ่งร้าน “DOMINO’S PIZZA” ที่พร้อมดำเนินการในทันทีจำนวน 27 สาขา โดยแบ่งเป็นในกรุงเทพและปริมณฑล 26 สาขา และพัทยา 1 สาขา ซึ่งหากการลงทุนครั้งนี้สำเร็จตามแผนที่ได้วางไว้ บริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดจากสาขาที่มีอยู่ได้ในทันที
ทั้งนี้จากการที่บริษัทได้ศึกษาร่วมกับ DPI มาร่วมปี ทำให้เรามีแผนการในการพลิกฟื้นธุรกิจ และมีความเชื่อมั่นว่าบริษัท และ DPI จะสร้างความสำเร็จในธุรกิจนี้ในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ทีมงานและผู้บริหารบริษัทมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการได้รับสิทธิในการทำธุรกิจ “DOMINO’S PIZZA” ครั้งนี้ จะเป็นปัจจัยที่มีนัยสำคัญที่จะสร้างรายได้และกำไรของบริษัทให้มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว สำหรับธุรกิจอาหารแบรนด์อื่นๆ ที่บริษัทมีอยู่นั้น บริษัทยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นกว่าที่ได้เคยทำมา โดยปัจจุบันบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารธุรกิจทั้งแบรนด์ Bake Cheese Tart, Zaku Zaku, Rapl, Le Boeuf, Creps & Co., และ Kagonoya ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยพิจารณาจากความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ดังนั้นบริษัทจึงมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจของบริษัทให้ดียิ่งกว่าที่ผ่านมา ตามที่เคยได้แจ้งต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นไว้”