กรุงเทพฯ--30 มิ.ย.--ไอบีเอ็ม ประเทศไทย
ไอบีเอ็มและคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประกาศความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีการประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC) และ AI Vision ของไอบีเอ็ม มาใช้สนับสนุนงานวิจัยและการพัฒนาทักษะที่สำคัญต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือนี้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของประเทศในการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการเร่งขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต S-Curve และ New S-Curve ตลอดจนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ความร่วมมือนี้นับว่าเป็นก้าวย่างสำคัญสำหรับไอบีเอ็มและมหาวิทยาลัยมหิดลในการขับเคลื่อนการพัฒนาไปสู่สังคมดิจิทัลและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ไอบีเอ็มจะมอบสิทธิ์การใช้งานฮาร์ดแวร์ของ IBM Power Systems ซึ่งเป็นเทคโนโลยี HPC ของไอบีเอ็ม และซอฟต์แวร์ IBM Visual Insights เป็นเวลา 3 เดือน พร้อมทั้งจัด hands-on เวิร์คช็อปให้แก่คณาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อใช้ในการวิจัยและการศึกษาในสามด้านต่อไปนี้
การวิจัยเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี Computer Vision บนพื้นฐานของ AI ในด้านการดูแลสุขภาพ อาทิ การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ (Medical Imaging) เวชสารสนเทศ (Medical Informatics) เป็นต้น โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลอื่นๆ ในเครือของมหาวิทยาลัยมหิดลการพัฒนาทักษะ ทั้งในแง่ Reskill และ Upskill ให้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรมและการผลิต โดยโครงการนี้จะเริ่มต้นจากนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยการวิจัยเพื่อนำแพลตฟอร์ม AI มาสร้างโมเดล Machine Learning และ Deep Learning เพื่อการวิเคราะห์และติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร รวมถึงการตรวจจับชิ้นส่วนที่มีตำหนิในโรงงานผลิต
ดิสรัปชันอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ได้กระตุ้นให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาทักษะที่สำคัญให้แก่บุคลากรเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน “สถานการณ์การแพร่ระบาดในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน และองค์กรที่สามารถปรับตัวและฟื้นตัวได้เร็วที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีก้าวล้ำและความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรด้านวิชาการ จะช่วยให้เราสามารถสร้างทักษะที่จะเป็นที่ต้องการในอนาคต เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และช่วยให้เราเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในยุคนิวนอร์มัล” นางสิริกร บุญเสริมสุวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจดิจิทัลเซลล์และคอมเมอร์เชียล บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าว
“ความร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันนี้ จะเป็นการนำศักยภาพของเทคโนโลยีการประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC) IBM Power Systems ซึ่งมีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก และได้รับการออกแบบมาเพื่อการวิเคราะห์ขั้นสูงและการรองรับ AI รวมทั้งเทคโนโลยี IBM Visual Insights ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ที่มี Deep Learning ในตัว สำหรับการวิเคราะห์วิดีโอและภาพนิ่ง มาสนับสนุนการทำงานของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์นวัตกรรมในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ทำงานในด้านการดูแลสุขภาพและการผลิต” นางสิริกรกล่าวเสริม
รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “คณะวิศวกรรมศาสตร์ของเราให้ความสำคัญกับการสร้างงานวิจัยและการศึกษาแบบสหวิทยาการ เพื่อมุ่งสู่การก้าวเป็น “วิศวกรรมศาสตร์ระดับโลก” เราพิจารณาถึงความต้องการของตลาด และในปี 2563 ยังมีแผนพัฒนาทักษะด้านวิศวกรรมเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 และวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย การพัฒนากำลังคนในภาคอุตสาหกรรมทั้งการ Reskill – Upskill เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถของคนไทยและการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง การ Re-Skill ช่วยพัฒนาทักษะเดิมด้วยองค์ความรู้ใหม่ที่จำเป็นเพื่อตอบรับกับงานใหม่หรืองานในอนาคตมากขึ้น ส่วนการ Up-Skill จะช่วยเสริมสร้างทักษะใหม่ที่สอดคล้องกับธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก ทักษะทางด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงการทำงานกับข้อมูลมหาศาลหรือ Big Data เป็นต้น”
จากข้อมูลการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาคุณค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBV) พบว่าในอีกสองปีข้างหน้า บุคลากรมากถึง 120 ล้านคนในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก 12 ประเทศ อาจจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ และพัฒนาทักษะเดิมเพิ่มเติม อันเป็นผลมาจากการเข้ามามีบทบาทของ AI และ Automation อัจฉริยะ นอกจากนี้ มีซีอีโอของบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในการสำรวจเพียงร้อยละ 41 เท่านั้นที่ระบุว่าบริษัทของตนมีบุคลากร ทักษะ และทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานตามกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท โดยการศึกษาวิจัยที่ได้มีการเก็บข้อมูลจากผู้บริหารทั่วโลกกว่า 5,670 คนใน 48 ประเทศ ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการปัญหาด้านความต้องการแรงงานในทุกระดับชั้นขององค์กร
ในฐานะองค์กรด้านเทคโนโลยีระดับโลก ไอบีเอ็มมองว่าตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การบริการแบบ value-added มากขึ้น และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในระยะยาวของไอบีเอ็ม ในแง่การช่วยสร้างทักษะที่จำเป็นเพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีล่าสุดเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงานจริงในประเทศไทย