![กยท. เดินหน้า ผลักดันสินค้ายางพาราสู่ภาคอุตสาหกรรม ดึง BOI ร่วมสนับสนุน]()
กรุงเทพฯ--1 ก.ค.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เดินหน้าให้การสนับสนุนกลุ่ม
อุตสาหกรรมขนาดย่อย
SMEs วิสาหกิจชุมชน สถาบัน
เกษตรกร/
เกษตรกรชาวสวนยาง ผลักดันสินค้า
ยางพาราสู่ภาค
อุตสาหกรรม ดึง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (
บีโอไอ) ร่วมเป็นพี่เลี้ยง เชื่อมั่นเทรนด์การใช้ยาง
ธรรมชาติปรับตัวในทิศทางที่ดี
นาย
ณกรณ์ ตรรกวิรพัท รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เผยว่า กยท. มุ่งหาแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในกิจการ
ยางพารา เพื่อให้เกิดพัฒนา
อุตสาหกรรมยาง จึงได้ร่วมประสานความร่วมมือกับ
บีโอไอ เพื่อหาแนวทางสนับสนุนผู้ประกอบกิจการยาง สถาบัน
เกษตรกร หรือผู้ประกอบกิจการของ กยท. เนื่องจาก
บีโอไอ เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย ทั้งด้านการเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกด้านการลงทุน และด้านการบริการสนับสนุนธุรกิจ ซึ่ง กยท. มองว่าสามารถช่วยเหลือกลุ่ม
เกษตรกร สถบันเกษตรชาวสวนยาง รวมถึงผู้ประกอบกิจการ
ยางพารารายย่อยได้ โดยผ่านมาตรการต่างๆ ได้แก่ มาตรการเรื่องของการลดหย่อนภาษี มาตรการลดหย่อนภาษีนำเข้า กิจกรรมส่งเสริมการลงทุน การยกเว้นอากรวัตถุดิบเพื่อการวิจัยพัฒนา และการพัฒนามาตรฐานการผลิตต่างๆ เช่น การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับปรุง เพื่อทำมาตรฐาน FSC, GMP, GAP ฯลฯ ตลอดจนการขยายการผลิต ซึ่งสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก
บีโอไอได้เช่นกัน ทั้งนี้ แต่ละหลักเกณฑ์ก็จะมีการให้ความช่วยเหลือที่แตกต่างกันไป
นายณกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มองว่าการส่งเสริม
ยางพารา กำลังปรับให้มีการพัฒนาจากภาคเกษตรไปสู่ภาค
อุตสาหกรรมมากขึ้น โดยมาตรการให้การสนับสนุนใหม่ของ
บีโอไอนี้
เกษตรกรชาวสวนยาง
กลุ่ม
เกษตรกรรายย่อย สถาบัน
เกษตรกรชาวสวนยางหรือผู้ประกอบกิจการ
SMEs สามารถขอรับการสนับสนุนได้เช่นกัน เพื่อใช้ในการงดเว้นภาษีนิติบุคคล งดเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรหรือวัตถุดิบเพื่อการส่งออก ซึ่งมีหลายสหกรณ์หรือบริษัทขนาดเล็กที่ไม่เคยทราบถึงสิทธิ์นี้
นายณกรณ์ กล่าวถึงแนวโน้มของ
อุตสาหกรรมแปรรูปยางของไทย ว่า ขณะนี้มีความน่าสนใจมาก โดยเฉพาะถุงมือยาง ซึ่งถือเป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยนในกลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปยางของประเทศไทย เนื่องจาก
ถุงมือยางมีช่วงของการเติบโต (Growth) เพิ่มมากขึ้น จากช่วงก่อนมีการระบาดเชื้อโควิด อยู่ที่ 12-15% ต่อปี แต่ปัจจุบันคาดว่าจะขยับขึ้นไปถึงเท่าตัว (30% ต่อปี) และมีมูลค่าการส่งออกถุงมือยางประมาณ 2.7 หมื่นล้าน/ปี ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาท/ปี ทั้งนี้ ภาครัฐกำลังหาแนวทางนำน้ำยางข้น ซึ่งมีปริมาณมากในประเทศ ผลักดันเข้าสู่การแปรรรูป ขยาย
อุตสาหกรรมถุงมือยาง และนำผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางมาใช้ให้มากขึ้น อันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเพื่อให้
อุตสาหกรรมยางของประเทศมีความเข้มแข็งในการเป็นผู้นำการผลิตและการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางของโลก