กรุงเทพฯ--2 ก.ค.--ธนาคารกสิกรไทย
ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าเต็มที่ช่วยลูกค้าช่วงโควิด-19 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ 650,000 ราย ยอดสินเชื่อคงค้าง 828,000ล้านบาท และให้เงินทุนเพิ่มกับลูกค้า 94,000 ราย เพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤต จำนวนเงินรวม 156,000ล้านบาท อีกทั้งยังดำเนินการโครงการพิเศษ ช่วยให้ธุรกิจรักษาการจ้างพนักงาน ภายใต้โครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” และ “สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี” โดยได้ช่วยไปแล้ว 1,144ล้านบาท รักษาการจ้างพนักงาน 49,000 ราย และธนาคารฯ เร่งดำเนินการช่วยลูกค้าต่อเนื่องหลังคลายล็อกดาวน์
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารฯ ได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ด้วยการพักชำระหนี้ให้กับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ 650,000 ราย ยอดสินเชื่อคงค้าง 828,000ล้านบาท และการให้เงินทุนเพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับลูกค้าธุรกิจ94,000 ราย จำนวน 156,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดการปล่อยสินเชื่อที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30% โดยธนาคารฯ ยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่องสำหรับลูกค้าที่ยังเดือดร้อนให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่รอดต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
นอกจากความช่วยเหลือที่สอดรับตามนโยบายของภาครัฐแล้ว ธนาคารฯ ยังดำเนินการโครงการพิเศษ โดยมีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือพนักงานของธุรกิจให้อยู่รอด โดยใช้งบประมาณจำนวน 1,500 ล้านบาท ภายใต้โครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” โดยธนาคารฯ ลดดอกเบี้ยให้กับธุรกิจที่ยังมีกำลังอยู่ เพื่อให้เจ้าของนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายเงินเดือนพนักงาน และโครงการ “สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี” เป็นการให้เงินทุนแก่ธุรกิจขนาดเล็ก ในอัตราดอกเบี้ย 0% 10 ปี โดยปีแรกไม่ต้องจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อนำไปจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผลตอบรับที่ดีและเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ธนาคารฯ ตั้งไว้ โดยให้เงินช่วยลูกค้าไปแล้วรวม 1,144 ล้านบาท สามารถช่วยรักษาการจ้างพนักงานได้จำนวน 49,000 ราย ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณน้ำใจจากเจ้าของธุรกิจบางรายที่ปฏิเสธความช่วยเหลือของธนาคารฯ เนื่องจากมองว่าตัวเองยังไหวและเข้าใจดีว่าธนาคารฯ ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน จึงเสียสละเพื่อให้ธนาคารฯ นำเงินไปช่วยเหลือธุรกิจที่เดือดร้อนกว่า
ในช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันลูกค้าธุรกิจของธนาคารฯ มียอดรวมเงินฝากเพิ่มขึ้น 13% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกค้าบางส่วนยังมีกำลังพอที่จะชำระหนี้หลังครบกำหนดพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยธนาคารฯ ติดต่อลูกค้าเพื่อให้ความช่วยเหลือโดยใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์หรือดูความจำเป็นของลูกค้าเพื่อนำเสนอความช่วยเหลือที่เหมาะสม ทั้งนี้หากลูกค้าท่านใดที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อเข้ามาที่ธนาคารฯ ได้ ธนาคารฯ มีความตั้งใจเต็มที่จะช่วยให้ลูกค้าที่เดือดร้อนด้วยเงินทุนที่ธนาคารฯ มีอยู่
นายพัชร กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ในช่วงวิกฤตที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่ลูกค้ายังมีวินัยทางการเงินและมีการชำระหนี้เข้ามา ธนาคารฯ ขอขอบคุณลูกค้าทุกคน หากทุกคนช่วยเหลือและร่วมมือกันเราจะฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน