กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
เดือนกรกฎาคมนี้ จะได้เห็นภาพบรรยากาศความคึกคักของการเปิดภาคเรียนกันอีกครั้งสำหรับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถานศึกษาต่างๆ ที่จะมาพร้อมกับ “ความปกติใหม่” หลังผ่านพ้นวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงต้องมีการปรับตัวทั้งรูปแบบการเรียน การสอน หรือแม้แต่กิจกรรมต่างๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเป็นเครื่องมือ รวมถึงการดูแลความปลอดภัยและมาตรการเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกฝ่าย ซึ่งวันนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA มี 3 นวัตกรรมเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก และสร้างความมั่นใจให้นักเรียน คุณครู และผู้ปกครองให้สามารถกลับไปเรียนได้ในสภาวะที่ทุกอย่างอยู่ในยุค “New Normal” หลังเปิดเมือง
เริ่มกันที่เทคโนโลยีแรกอย่าง Online Blended Learning For School หรือ นวัตกรรมการเรียนแบบผสมผสานออนไลน์สำหรับโรงเรียน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาทำให้การเรียนหนังสือของเด็กสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา โดยนางสาวรษา วงศ์สมิง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด เล่าว่า บริษัทได้คิดค้นนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่จะเข้าไปช่วยเสริมให้การเรียนการสอนหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายให้สามารถดำเนินการได้อย่างง่าย และสะดวก เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวนักเรียน นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งยังสามารถออกแบบกิจกรรมที่ตนเองอยากทำได้เอง เพราะต้องยอมรับว่าทุกวันนี้เด็กนักเรียนมีความต้องการที่ชัดเจนว่าอยากเรียน และทำกิจกรรมอะไร ดังนั้น นวัตกรรมของเลิร์น เอ็ดดูเคชั่นจะเข้าไปส่งเสริมในเรื่องดังกล่าว เพราะไม่ว่าเด็กจะอยู่ที่ไหน หรือยากทบทวนบทเรียนช่วงใดก็สามารถทำได้เลยทันที
สำหรับรูปแบบแพลตฟอร์มนั้นจะเป็นการใช้งานในรูปแบบของแอปพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “Learn Anywhere” ซึ่งเป็นแอปฯที่ต่อยอดมาจากระบบ “Online Blended Learning For School” โดยจะเปิดให้เด็กเรียนผ่านแอปพลิเคชั่นในรายวิชาหลักอย่างเช่น วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยเป็นบทเรียนสำหรับนักชั้นประถมศึกษาปีที่5-มัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น ส่วนการเข้าใช้งานนักเรียนจะต้องลงทะเบียนเพื่อขอPassword และ Username หลังจากที่ได้รับรหัสผ่านนักเรียนก็สามารถเข้าเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้เลย โดยระบบจะจัดลำดับบทเรียนตามที่โรงเรียนได้กำหนดไว้
ที่ผ่านมามีการนำระบบไปทดลองใช้กับโรงเรียนนำร่อง 5 แห่ง ซึ่งพบว่านักเรียนให้ความสนใจและเข้าใช้เป็นจำนวนมาก สำหรับความพิเศษของแอปฯ คือจะช่วยให้การเรียนผ่านระบบออนไลน์ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ลดความกังวลว่าหากไปทำกิจกรรมแล้วจะเรียนมาไม่ทันเพื่อน เพราะสามารถกลับมาทบทวนบทเรียนได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ทางบริษัทเห็นว่าระบบสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนในยุคนี้ได้ค่อนข้างมาก สำหรับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นจะเกิดผลดียิ่งขึ้นในกรณีที่มีการนำเอาแพลตฟอร์มออนไลน์ไปผสมผสานกับการสอนจริง นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่นยังจะเข้าไปสนับสนุนการเปิดเทอมหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น และสามารถช่วยให้โรงเรียนรักษามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยที่ไม่ต้องให้เด็กผลัดกันเข้าห้องเรียน
ถัดมาเป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียน และช่วยดูแลบุตรหลานให้ปลอดภัย ด้วยแพลตฟอร์ม Kids Up: ระบบจัดการความปลอดภัยของนักเรียนแบบครบวงจร โดย นางอัมภาพัตร ฉมารัตน์ Co – Founder แพลตฟอร์ม Kids Up เล่าว่า จุดเริ่มต้นของ Kids Up เกิดขึ้นมาจากที่ตนและภรรยาต้องไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนเป็นประจำ และมักจะพบกับปัญหาการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียน และความไม่ปลอดภัยที่เด็กจะต้องมายืนรอผู้ปกครองด้านหน้าซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ดังนั้น จึงคิดค้นแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาบริหารจัดการการรับ-ส่งบุตรหลานผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือที่ผู้ปกครองสามารถใช้งานได้ทันทีหลังจากลงทะเบียนผ่านเบอร์มือถือเท่านั้น โดยบริษัทจะเข้าไปติดตั้งระบบที่สามารถแสดงผลและแจ้งเตือนให้นักเรียนทราบว่าอีกกี่นาทีผู้ปกครองจะมาถึงผ่านระบบโทรทัศน์หรือจอแอลอีดี
อย่างไรก็ตามได้มีการนำระบบดังกล่าวเข้าไปติดตั้งและใช้งานกับโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และนนทบุรีแล้ว ซึ่งพบว่าระบบดังกล่าวช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด รวมไปถึงช่วยให้การจัดระบบรถเข้า-ออกบริเวณหน้าโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ในส่วนการใช้งานนั้นได้มีการออกแบบแอปฯ ให้ใช้งานง่ายกว่าระบบบริหารจัดการการจราจรหน้าโรงเรียนของต่างประเทศ และยังมีความแม่นยำในเรื่องของเวลาค่อนข้างสูงเพราะระบบจะตรวจจับเวลาการเดินทางผ่าน Google Map ดังนั้น เวลาที่ผู้ปกครองมาถึงค่อนข้างตรงตามที่แจ้งอาจจะมีบ้างในกรณีล้าช้าแต่เมื่อคำนวณแล้วบวกลบไม่เกิน 5 นาที
“ในอนาคตจะมีการพัฒนาฟังก์ชั่นสำหรับผู้ปกครองที่ไม่ได้มารับลูกด้วยตนเอง และรถรับ-ส่งนักเรียน หรือการเชื่อมระบบกับแกร็ป นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาระบบเพื่อรองรับผู้ปกครองในบางกลุ่มที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนให้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชั่นได้ทุกรูปแบบ เพราะตนเห็นว่าในอนาคตนวัตกรรมหรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทค่อนข้างมาก ดังนั้น นวัตกรรมด้านการศึกษาจำเป็นจะต้องปรับ และคิดค้นฟังก์ชั่นใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยระบบเทคโนโลยีต้องสามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม” นายคงพันธ์ กล่าวสรุป
สุดท้ายคือแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาช่วยจัดระบบบริหารจัดการโรงเรียนแบบ 4.0 อย่างแพลตฟอร์ม School Management System 4.0 หรือโครงการระบบบริหารจัดการสถานศึกษา 4.0 โดย นายนรินทร์ คูนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท จับจ่าย คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าว่า ทางบริษัทได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์ม ที่จะช่วยให้โรงเรียนก้าวสู่การเป็นโรงเรียนในยุค 4.0 ผ่านการบริหารจัดการด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งแพลตฟอร์มระบบบริหารจัดการโรงเรียนแบบ 4.0 นั้นจะเพิ่มความสะดวกในการจัดระบบภาระงานภายในสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นระบบตารางสอนของครู และตารางเรียนของนักเรียน ระบบเช็คชื่อ ระบบตรวจสอบคะแนนความความประพฤติ ระบบแจ้งการบ้าน ระบบลา รวมไปถึงระบบบริหารงานของครู เช่น ระบบรายงานผู้บริหาร ระบบรายงานผลการเรียน ระบบปฏิทินโรงเรียน โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกรายงานผ่านแอปพลิเคชั่นและเว็ปไซต์ ซึ่งสามารถเข้าใช้งานผ่านมือถือได้เลยโดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม นอกจากนี้ ระบบจะทำงานแบบ Realtime ซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนอัพเดตความเคลื่อนของครู นักเรียน ได้ตลอดเวลา ผ่านการใช้ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบน Cloud Base ที่มีความปลอดภัยสูง
ทั้งนี้ ทางบริษัทได้มีการนำเอาระบบไปทดลองใช้กับโรงเรียนกว่า 300 แห่งพบว่า ระบบการจัดการภายในโรงเรียนมีความเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โรงเรียนสามารถจัดหมวดหมู่เอกสารและมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนแต่ละคนครบถ้วนและชัดเจน สามารถลดภาระงานให้แก่ครูได้มากถึง 90% นอกจากนี้ ยังทำให้โรงเรียนทราบพฤติกรรมของนักเรียนและสามารถนำไปวางแผนเพื่อรองรับหรือปรับพฤติกรรมของนักเรียนได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับความโดดเด่นของระบบนั้นแม้ว่าจะเป็นระบบการจัดการที่ค่อนข้างละเอียดและซับซ้อน แต่มีการออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ผ่านกราฟฟิคที่สวยงาม สบายตา เหมาะสำหรับครู อาจารย์ นอกจากระบบจะจัดการข้อมูลภายในโรงเรียนให้แล้วยังสามารถเชื่อมผู้ปกครอง โรงเรียน และนักเรียนเข้าหากัน ซึ่งจะช่วยลดภาระงานของครูและสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ปกครอง
หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เราจะเริ่มเห็นสิ่งใหม่ๆ หรือวิถีใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนวัตกรรมเกี่ยวกับการศึกษา เพราะหลังจากนี้ในระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ครู นักเรียน จะหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้นกว่า สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้นวัตกรรมเกี่ยวกับการศึกษามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และจะกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบการศึกษาไทย
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โทรศัพท์ 02-017-5555 เว็บไซต์ www.nia.or.th และ facebook.com/NIAThailand