กรุงเทพฯ--8 ก.ค.--ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์
บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM เดินหน้าสวนวิกฤตโควิด -19 ทุ่มงบกว่า 115 ล้านบาท ร่วมลงทุนโรงงานผลิตสินค้าภายใต้ชื่อ “บริษัท เอสซีเอ็ม อินโนเวทีฟ จำกัด” หรือ SMI เพื่อขยายไลน์การผลิตรองรับต่อความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในรูปแบบ Multi-level Marketing
นายแพทย์ สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM ประกอบธุรกิจขายตรง โดยก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 และเริ่มดำเนินการทางธุรกิจเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556 และได้จดทะเบียนแปรสภาพ เป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2562 และคาดว่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เร็วๆ นี้ ด้วยประเภทธุรกิจพาณิชย์
ทั้งนี้การประกอบธุรกิจโรงงานถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ ในการบริหารต้นทุน สามารถกำหนดราคาในการแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น จึงผ่านมติคณะกรรมการบริษัท ให้ลงทุนในโรงงานผลิต ร่วมกับคู่ค้ารายใหญ่บริษัท เซ็น ไบโอเทค จำกัด (ZEN) ภายใต้ชื่อ บริษัท เอสซีเอ็ม อินโนเวทีฟ จำกัด (SMI) เพื่อความยั่งยืน และการเติบโตของกิจการ”
“โรงงานแห่งใหม่นี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าโดยใช้นวัตกรรมใหม่ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ เร่งผลักดันการกระจายสินค้าสู่ภูมิภาคอาเซียน สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งจะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้เป็นอย่างดี" นายแพทย์ สิทธวีร์ กล่าว
ด้าน CEO นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการลงทุนในครั้งนี้ว่า “บริษัท เอสซีเอ็ม อินโนเวทีฟ จำกัด (SMI) ได้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ที่ตั้งบริเวณคลองห้า อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยบริษัท เซ็น ไบโอเทค จำกัด (ZEN) โดยในวันที่ 10 มีนาคม 2563 ทาง บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM ได้ผ่านมติ คณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อเข้าซื้อกิจการในร้อยละ 55
การประกอบธุรกิจ SMI ประกอบธุรกิจเป็นโรงงานผลิต และศูนย์วิจัยและพัฒนา อาหารเสริมให้กับซัคเซสมอร์ โดยจัดตั้งโรงงานในพื้นที่จำนวน 1 ไร่พร้อมอาคารด้วยงบมูลค่า 30 ล้านบาทและลงทุนในเครื่องจักรและงานระบบติดตั้งเครื่องจักรด้วยงบลงทุน 40 ล้านบาท ดังนั้น SMI ลงทุนในสินทรัพย์ทั้งสิ้น 70 ล้านบาท และมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกิจการ อีก 30 ล้านบาท ซึ่งเงินทั้งหมดเกิดจากการระดมทุนจาก SCM และ ZEN
การก่อสร้างโรงงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการคาดว่าจะแล้วเสร็จบางส่วน และมีการผลิตรอบแรกในช่วงปลายเดือน กรกฎาคม 2563 และสามารถดำเนินธุรกิจได้เต็มกำลังการผลิตในเดือน พฤศจิกายน 2563 นี้
โรงงานผลิตสินค้าในช่วงแรกสามารถผลิตสินค้า ที่โอนการผลิตจาก กลุ่มบริษัทเซ็น ไบโอเทค ทั้งหมดจำนวน 18 รายการ ประกอบด้วยกลุ่มอาหารเสริม โดยรวมถึงรายการผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ของบริษัทฯ เช่น Phytovy, Phytovy LIVE, Mores Collagen, กาแฟ และรายการสินค้าอื่นอีกมากมาย ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตกว่า 3.6 ล้านซองต่อเดือนในอนาคต ในรูปแบบแคปซูล ตอกเม็ด และชนิดผง ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำกำไรสุทธิได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของรายได้ทั้งหมด และประเมินอัตราการเติบโตต่อปีไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ต่อปี สำหรับโรงงานผลิต โดยคาดการณ์แนวโน้มจากภาวะตลาดของอาหารเสริมในปัจจุบัน และปริมาณลูกค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซีอีโอ นพกฤษฏิ์ กล่าวว่า "บริษัทฯถือเป็นน้องใหม่ของวงการที่มาแรง สะท้อนถึงความเชื่อมั่น ได้รับการยอมรับจากสมาชิก และผู้บริโภค โดยบริษัทฯ มีรายได้ติดอยู่ในอันดับ TOP 10 ระดับ 1,000 ล้านบาท จากกว่า 400 บริษัทขายตรงในประเทศไทย
เรามีศักยภาพสูงทางด้านการทำธุรกิจในรูปแบบ Multi-level Marketing ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพ และไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังขยายไปยังตลาดอาเซียน โดยบริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อที่จะขยายธุรกิจออกไป และทำให้กิจการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืนในอนาคต"
“สิ่งที่สำคัญที่เรามุ่งเน้นคือการสร้างแบรนด์ "ซัคเซสมอร์" ให้แข็งแกร่ง เพื่อตอกย้ำ Brand Essence ของเรา ที่สื่อถึง 'พลังแห่งชัยชนะของผู้คน’ ให้นักธุรกิจและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์จะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังแห่งชัยชนะ ด้วยการมีสุขภาพที่ดีขึ้นจากการใช้สินค้า มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยแนวคิดการสร้างชุมชน Wellness & Well-being และเครื่องมือทางธุรกิจที่บริษัทฯ มอบให้ ทุกคนเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม SCM ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน พร้อมส่งมอบคุณค่าในเรื่องการแบ่งปัน ช่วยเหลือสังคม และยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น” CEO นพกฤษฏิ์กล่าว