กรุงเทพฯ--8 ก.ค.--ซีพีเอฟ
บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตสูงสุด เดินหน้าเป้าหมายลดการดึงน้ำมาใช้ 30% ในปี 2568 ลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
นายสุชาติ วิริยะอาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักดีถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งพลังงานและน้ำ จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนแผนการใช้ทรัพยากรและลดความเสี่ยงของธุรกิจ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยในปี 2562 บริษัทฯสามารถลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตได้ 6% หรือ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถลดปริมาณการดึงน้ำโดยรวมได้ 36%เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายปี 2568 ที่กำหนดไว้ 30%
“ซีพีเอฟ เดินหน้าตามแผนการลดปริมาณการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 และมีการดำเนินงานทุกธุรกิจ จนถึงปัจจุบันเราดำเนินงานได้เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะมีการทบทวนเป้าหมายอีกครั้งหลังการประเมินผลการดำเนินงานในปีนี้” นายสุชาติ กล่าว
สำหรับการใช้ทรัพยากรน้ำของ ซีพีเอฟ เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีการบำบัด การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และการแบ่งปันให้ชุมชน เช่น ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงกุ้งของบริษัทฯ ที่บางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี และฟาร์มร้อยเพชร จังหวัดตราด เป็นโครงการนำร่องในการติดตั้งเทคโนโลยีการบำบัดน้ำ เช่น ระบบไบโอฟลอค (Bio-Floc) ซึ่งเป็นการเติมจุลินทรีย์ลงในน้ำเพื่อบำบัดสารละลายไนโตรเจนที่เกิดจากของเสียที่กุ้งขับถ่ายออกมา ช่วยลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำระหว่างการเลี้ยงกุ้งลงถึง 70% เทียบกับการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป รวมถึงการนำเทคโนโลยี Ultra Filtration (UF) มากรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแลว หมุนเวียนนำกลับมาใช้เลี้ยงกุ้งได้มากกว่า 90% และกำลังเดินหน้านำความสำเร็จดังกล่าวไปขยายผลในฟาร์มอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจสัตว์น้ำ
อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ การนำเทคโนโลยี UF และ Reverse Osmosis มาใช้ในการกรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว เพื่อหมุนเวียนกลับมาใช้ในเครื่องทำระเหย (Evaporator) ในระบบทำความเย็น ที่โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปหนอกจอก ซึ่งสามารถทดแทนน้ำจากแหล่งภายนอกได้ถึง 216,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 1.7 ล้านบาทต่อปี