กรุงเทพฯ--10 ก.ค.--เฟลชแมน ฮิลลาร์ด
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC) ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม และทำการเปลี่ยนโฉมค้าปลีกให้มีความทันสมัย โดยยึดมั่นวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวเวียดนาม จนสามารถครองตำแหน่งบริษัทค้าปลีกข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม บนฐานลูกค้ากว่า 12 ล้านคน
ศักยภาพตลาดดี ดันธุรกิจโต
เวียดนาม อีกหนึ่งเสือเศรษฐกิจที่แข็งแรงแห่งภูมิภาคอาเซียน โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ของประเทศเวียดนามนั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2562 GDP ประเทศเวียดนามเติบโตขึ้นถึง 7% ท่ามกลางภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2563 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.82% แม้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ก็ตาม
การเติบโตแบบก้าวกระโดดของประเทศเวียดนามนั้น มีผลมาจากการที่เวียดนามมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานกว่า 50 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดกว่า 95 ล้านคน ประกอบกับนโยบายจากภาครัฐที่สนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และล่าสุดกับการบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป ทำให้ประเทศเวียดนามมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก และพร้อมก้าวสู่การแข่งขันในเวทีโลก
จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2555 ที่เซ็นทรัล รีเทลเข้าไปดำเนินธุรกิจในเวียดนาม ด้วยเล็งเห็นศักยภาพและโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยเริ่มจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายแบรนด์สินค้าแฟชั่น จนถึงก้าวสำคัญในปี 2558 ที่เราเข้าร่วมทุนกับเหงียนคิม และลานชี มาร์ท ทำให้เซ็นทรัล รีเทล เวียดนามในขณะนั้นมีร้านค้า 85 แห่ง ใน 15 จังหวัด และมีพื้นที่ขายสุทธิอยู่ที่ 170,000 ตรม. พร้อมขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2563) เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม มีจำนวนศูนย์การค้าทั้งสิ้น 35 แห่ง ร้านค้ามากกว่า 230 แห่ง ครอบคลุม 39 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ บนพื้นที่กว่า 1,080,000 ตรม.[1] โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจกลุ่ม Food ใน 3 รูปแบบที่จะสามารถรองรับลูกค้าได้ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง ได้แก่
ไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hyper GO!) 32 แห่ง ครอบคลุมทุกเมืองสำคัญของเวียดนามซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองหลัก (Super GO!) 7 แห่ง ใน 2 เมือง คือ กรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ซูเปอร์มาร์เก็ตในพื้นที่ต่างจังหวัด (ลานชี มาร์ท) 25 แห่ง ทั้งยังมีธุรกิจ Non-Food มากกว่า 170 แห่ง ที่เป็นร้านค้าเฉพาะทางต่างๆ อาทิ เหงียนคิม ผู้นำร้านจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงธุรกิจ Property ที่บริหารศูนย์การค้าโก! (GO!) อีก 35 แห่ง ซึ่งรีแบรนด์มาจากบิ๊กซี
ธุรกิจหลากหลาย พันธมิตรแกร่ง เสริมศักยภาพด้วยเทคโนโลยี : ปัจจัยความสำเร็จเซ็นทรัล รีเทล
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยว่า ด้วยยุทธศาสตร์ที่เน้นการขยายธุรกิจหลากหลายรูปแบบที่มีความยืดหยุ่นสูง (Resilient Portfolio) และการผนึกกำลังสร้างความร่วมมือจากพันธมิตรทุกภาคส่วน (Partnership) พร้อมนำเทคโนโลยีมาเสริมทัพธุรกิจ ทำให้เซ็นทรัล รีเทล สามารถขยายธุรกิจที่เติบโตและแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว
จากธุรกิจที่สร้างรายได้ราว 300 ล้านบาทในปี 2557 ปัจจุบัน เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม สามารถสร้างรายได้ถึง 37,000 ล้านบาท ในปี 2562 และแม้กระทั่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังสามารถดำเนินธุรกิจ และมีรายได้ที่มาจากความพร้อมของช่องทางออมนิแชแนลทั้งร้านค้า และระบบออนไลน์ พร้อมด้วยฐานลูกค้าที่แข็งแรงกว่า 12 ล้านคน ถือเป็นบทพิสูจน์ว่าเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ยังสามารถสร้างยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง และให้บริการลูกค้าได้ในทุกสถานการณ์
“ความสำเร็จของเซ็นทรัล รีเทลในเวียดนามนั้น เกิดขึ้นจากการคงไว้ซึ่งดีเอ็นเอของเราที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และแสวงหาโอกาสในการเติบโตอยู่เสมอ เรายังคงมุ่งมั่นลงทุนในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพของประเทศที่ยังเติบโตได้อีกมาก และยังคงยึดมั่นวิสัยทัศน์องค์กรที่มุ่งสร้างความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวเวียดนามทุกคน ทั้งนี้เราขอขอบคุณลูกค้าชาวเวียดนามทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและตอบรับกับเซ็นทรัล รีเทล ด้วยดีเสมอมา” ญนน์ กล่าว
เดินหน้าต่อยอดธุรกิจรีเทลเวียดนาม
ฟิลิป ฌ็อง บราเอ็นนิโก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม เผยว่า จากการดำเนินธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ที่มุ่งสร้างความเจริญ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชาวเวียดนาม รวมถึงยังได้รับการสนับสนุนอันดีจากภาครัฐ ทำให้ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เซ็นทรีล รีเทลได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวเวียดนาม ทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการถึง 175,000 คนต่อวัน
“ในปี 2563 เซ็นทรัล รีเทลยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านแผนธุรกิจที่เน้นการขยายสาขา โดยตั้งเป้าเปิดศูนย์การค้า GO! เพิ่มทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ สาขาจ่าวิญ (Tra Vinh), กว๋างหงาย (Quang Ngai), บวนมาถวด (Buon Ma Thuot), เบ๊นแจ (Ben Tre), บ่าเหรี่ยะ (Ba Ria) และท้ายเหงียน (Thai Nguyen) รวมถึงรีแบรนด์บิ๊กซีเป็น GO! เพิ่ม 4 สาขา พร้อมพัฒนาเทคโนโลยี และช่องทางออมนิแชแนล โดยมุ่งเน้นการทำธุรกิจแบบ Synergy ผ่านการผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ แกร็บ บนฟีเจอร์ GrabMart เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า เพื่อก้าวสู่การเป็นธุรกิจ Multi-Format เต็มรูปแบบ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ สร้างความสะดวกสบาย และมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าในทุกสถานการณ์” บราเอ็นนิโก กล่าว
ขับเคลื่อนธุรกิจ บนรากฐานสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
เซ็นทรัล รีเทลได้ตั้งเป้าขยายธุรกิจให้ครอบคลุม 55 จังหวัดทั่วประเทศภายใน 5 ปี เพื่อมอบบริการที่ทั่วถึงในทุกพื้นที่ ตลอดจนสร้างงานและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ชาวเวียดนาม
นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทลยังได้ต่อยอดธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในเซ็นทรัล รีเทล ประเทศไทยสู่ประเทศเวียดนาม อาทิ การเปิดร้านซูเปอร์สปอร์ตในเวียดนาม, การพัฒนาศูนย์การค้า GO! ซึ่งต่อยอดมาจากโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ และการนำโมเดลธุรกิจร้านค้าเฉพาะทางต่างๆ ไปปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของชาวเวียดนาม จนเกิดเป็นธุรกิจ ฟู้ด ซิตี้, คุโบ, เฮลโหล บิวตี้ รวมถึงการนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศเวียดนามและประเทศไทย เพื่อวางจำหน่ายในเครือข่ายธุรกิจของทั้งสองประเทศอีกด้วย
ขณะเดียวกัน เซ็นทรัล รีเทล ยังเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ชุมชนและสังคมที่ยั่งยืน โดยเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อชุมชนและสังคม อาทิ โครงการรับซื้อสินค้าท้องถิ่น (Local Sourcing)
โครงการฟาร์เมอร์ มาร์เก็ต (Weekend Farmers’ Market) สนับสนุนชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ในการให้พื้นที่วางจำหน่ายสินค้าในบิ๊กซี ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ต่อยอดมาจากตลาดจริงใจที่ประสบความสำเร็จในเมืองไทย
“หัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม คือ การร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเราไม่เพียงเข้าไปเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังได้ร่วมสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคมเวียดนามอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะเป็น Central of Life หรือศูนย์กลางการใช้ชีวิตของชาวเวียดนามทุกคน และเราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าด้วยความแข็งแกร่งของ Central Retail & Service Platform ประกอบกับการมีพอร์ตธุรกิจที่ยืดหยุ่น และหลากหลายในต่างประเทศ จะทำให้เราสามารถขยายธุรกิจไปได้อีกมหาศาลและเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว” ญนน์ กล่าว