![ระวังโรครากเน่าและโคนเน่าในมะละกอ]()
กรุงเทพฯ--10 ก.ค.--
กรมวิชาการเกษตร
สภาพอากาศในระยะที่มีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง อาจส่งผลกระทบทำให้
มะละกอเกิดโรคได้
กรมวิชาการเกษตร แนะ
เกษตรกรผู้ปลูก
มะละกอให้เตรียมรับมือโรครากเน่าและโคนเน่า ที่พบมากในระยะ
ต้นกล้าจนถึงระยะต้นติดผล ระยะ
ต้นกล้า จะแสดงอาการที่ส่วนลำต้นบริเวณผิวดินมีลักษณะฉ่ำน้ำ ยุบเป็นแถบๆ ใบจะเหี่ยว ถ้าอาการรุนแรงบริเวณโคนต้นจะหักพับและตายในที่สุด
สำหรับ ระยะต้นโต มักแสดงอาการเริ่มแรกพบใบล่างเหลือง ก้านใบลู่ลง และหลุดร่วงได้ง่าย ส่วนใบที่อยู่ด้านบนของต้นมีสีซีด และยอดอ่อนมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้ต้นแคระแกร็น ต้น
มะละกอจะเหลือใบยอดเป็นกระจุก โดยบริเวณโคนต้นจะพบแผลเน่าฉ่ำน้ำ มีสีน้ำตาลเยิ้มออกมา ต้นจะหักล้มพับได้ง่าย และตายในที่สุด เมื่อขุดดูจะพบรากแขนงสีน้ำตาลหลุดขาดได้ง่าย ต่อมาโรคลุกลามไปยังรากแก้ว ทำให้รากเน่าเปื่อย
เกษตรกรควรหมั่นตรวจและกำจัดวัชพืชในแปลงและรอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้น
มะละกอที่แสดงอาการของโรครากเน่าและโคนเน่า ให้ขุดหรือถอนต้นที่เป็นโรคออกจากแปลงและนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที เพื่อลดแหล่งสะสมเชื้อราสาเหตุโรค จากนั้น
เกษตรกรควรใส่ปูนขาวหรือโรยยูเรียผสมปูนขาว อัตรา 80:800 กิโลกรัมต่อไร่ บริเวณหลุมที่ขุดหรือถอนต้นออกไปแล้ว และให้กลบและรดน้ำให้ดินมีความชื้น ทิ้งไว้ 3 สัปดาห์ เพื่อกำจัดเชื้อราสาเหตุโรค
หากเริ่มพบการระบาดของโรครากเน่าและโคนเน่า ให้
เกษตรกรราดบริเวณโคนต้นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชเมทา แลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารเมทาแลกซิล + แมนโคเซบ 4% + 64 % ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 - 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร สำหรับพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรคนี้ ควรสลับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน อีกทั้งควรทำแปลงปลูกให้มีการระบายน้ำที่ดีและไม่มีน้ำขัง