กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินดัชนีหุ้นไทยลงต่อ เหตุกังวลการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองในประเทศ บวกสถานการณ์ทางการเมืองไม่มั่นคง หลังปรับ ครม.ชุดใหม่ และคาดผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของกลุ่มแบงก์ออกมาต่ำกว่าไตรมาสก่อนจึงให้กรอบดัชนีที่ระดับ 1,310 - 1,370 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น Defensive Stock –งบQ2ดี –ได้อานิสงส์ แพ็กเกจ “เราเที่ยวด้วยกัน”
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลอาจจะกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง และกังวลเพิ่มขึ้นหากมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองในประเทศไทย
อีกทั้งการเมืองในประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการปรับครม.ชุดใหม่ ซึ่งนักลงทุนมีความกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบ ความเชื่อมั่นต่อการลงทุน และในช่วงสัปดาห์นี้กลุ่มสถาบันการเงินจะทยอยประกาศผลการดำเนินงานงวดครึ่งปี 2563 ออกมา ซึ่งคาดว่าตัวเลขจะปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ธนาคารออกมาตรการช่วยลูกหนี้ตามแนวนโยบายของธปท.ในการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 2 ครั้งในเดือนเม.ย. และเดือนพ.ค. และพักชำระหนี้ ยืดหนี้ให้กับลูกหนี้ จึงให้กรอบดัชนีที่ระดับ 1,310 - 1,370 จุด
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวถึง ปัจจัยเชิงบวกที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน อาทิ การทดลองวัคซีนในสหรัฐมีความคืบหน้าในทางที่ดี บริษัท Gilead Sciences Inc เปิดเผยผลการทดลองยา Remdesivir พบว่าสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 62% ขณะที่รพ.จุฬา รายงายว่าวัคซีนโควิด-19 ที่ทดลองในลิงได้ผลดีมาก เตรียมทดสอบในมนุษย์ประมาณต.ค.-ธ.ค.63 และทางกระทรวงคมนาคมได้มีการรายงานว่าญี่ปุ่นแสดงความพอใจภาพการดำเนินนโยบายพัฒนาพื้นที่ EEC ของไทยที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริง และรัฐบาลไทยยืนยันว่าจะสามารถเปิดให้บริการโครงการต่างๆ ภายในปี 2568 ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อภาครัฐและนักลงทุนของญี่ปุ่น และเอื้อต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับคาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2563 เพิ่มขึ้น 0.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากคาดการณ์ในเดือน มิ.ย. 63 เนื่องจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง แม้คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันในปี 2563 จะหดตัวที่ระดับ 7.9 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปี 2562
อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างๆ อาทิ การประชุมครม.รวมทั้งจีนเปิดเผยยอดนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าเดือนมิ.ย. และอียูเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นทางศรษฐกิจเดือนก.ค. ส่วนสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.ในวันนี้ และในวันที่15 ก.ค. จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐ เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดนิวยอร์ก ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนมิ.ย. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะรู้ผลในช่วงเช้าวันที่ 16 ก.ค. อีกทั้ง จีนเปิดเผย GDP 2Q63 อัตราว่างงาน ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในเดือนมิ.ย. และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ส่วนสหรัฐก็จะมีการเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ดัชนีการผลิตเดือนก.ค. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค.
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยได้ประเมินกลยุทธ์การลงทุน โดยนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะลงทุนในหุ้น Defensive Stock เช่น ADVANC, INTUCH, DIF, TTW, BEM, BTS, CHG และ BCH รวมทั้งหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ดี เช่น WICE, TASCO และ CPF หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแพ็กเกจ “เราเที่ยวด้วยกัน” เช่น ERW, CENTEL, BA และ ASAP
ส่วนราคาทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินสัปดาห์นี้ราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของกองทุน SPDR และความกังวลการแพร่ระบาดรอบ 2 ของ COVID-19 สำหรับผู้ที่มีสถานะให้ถือสถานะที่มีเพื่อรันเทรน ส่วนผู้ที่รอซื้อเน้นซื้อจังหวะย่อตัว เราคาดกรอบราคาทองคำที่ 1,770 - 1,830 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือเทียบเท่าทองคำไทย 26,130-27,100 บาทต่อบาททองคำ