กรุงเทพฯ--15 ก.ค.--กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ
รองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พร้อมคณะ ลงพื้นที่ จ.พิจิตร เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบึงสีไฟและโครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตรตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ณ บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร โดยมีนายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าวต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุปภาพรวมการพัฒนาฟื้นฟูบึงสีไฟและแม่น้ำพิจิตร และนายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า สรุปความก้าวหน้าผลการดำเนินงานขุดลอกบึงสีไฟ บริเวณอุทยานบัว บึงสีไฟ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลงพื้นที่บึงสีไฟครั้งนี้เพื่อติดตามเร่งรัดการการขุดลอกบึงสีไฟเพื่อเพิ่มปริมาณความจุรองรับน้ำฝน ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำเดิมให้สามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น โดยกรมเจ้าท่าเป็นเจ้าภาพหลักดำเนินการขุดลอกบึงไฟ แบ่งเป็น 2 ระยะ ซึ่งจะส่งผลให้บึงสีไฟสามารถเก็บกักน้ำได้ทั้งสิ้น 12 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) โดยระยะที่ 1 แล้วเสร็จตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 มีปริมาณมูลดินที่ได้จากการขุดลอก ประมาณ 4.7 ล้านลูกบาศก์เมตร คงเหลือส่วนระยะที่ 2 ที่ต้องขุดลอกดินอีกประมาณ 7 แสน ลบ.ม. ได้กำชับให้มีการเร่งรัดการดำเนินการขุดลอก การขนย้ายและการจำหน่ายวัสดุขุดลอกทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ รวมถึงการลำเลียงน้ำเข้าสู่บึงสีไฟซึ่งกรมชลประทานคาดว่าจะมีปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นสามารถดึงน้ำเข้าบึงได้ประมาณ 15 ส.ค.63 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายการเก็บกักน้ำไม่น้อยกว่า 80% ของความจุ
อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาบึงสีไฟทั้งระยะสั้นในการขุดลอกให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมเคลื่อนย้ายกองดินที่ได้ทำการขุดลอกแล้วทั้งหมดประมาณ 6 ล้าน ลบ.ม.ออกจากพื้นที่ ซึ่งกรมเจ้าท่าร่วมกับจังหวัดพิจิตรวางแนวทางขนย้ายดินทั้งส่วนที่ขายทอดตลาดได้ และส่วนที่นำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของส่วนราชการโดยไม่ขัดต่อระเบียบหรือกฎหมาย รวมถึงการปรับปรุงภูมิทัศน์ของบึง เพื่อให้บึงสีไฟเป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำในพื้นที่ เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสาธารณประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ ส่วนแผนการพัฒนาบึงสีไฟในอนาคตได้มอบหมายให้ สทนช.ประสานจังหวัดพิจิตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางกรอบแนวจัดทำแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูและใช้ประโยชน์บึงสีไฟทั้งระบบ (Master Plan) เช่นเดียวกับการบูรณาการแผนพัฒนาฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ เช่น บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ บึงราชนก จ.พิษณุโลก และหนองหาร จ.สกลนคร เป็นต้น เพื่อให้การพัฒนาบึงเกิดความต่อเนื่องทั้งหน่วยงานรับผิดชอบ งบประมาณรองรับในแต่ละด้านอย่างชัดเจน อาทิ การขุดลอกบึงเพื่อเพิ่มปริมาณความจุเก็บกักให้ได้มากขึ้น การพัฒนาฟื้นฟูทรัพยากรสิ่งแวดล้อมภายในบึง การใช้ประโยชน์สาธารณะ เป็นต้น รวมถึงติดตามแผนงานโครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตรในการเร่งรัดฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร แก้ไขปัญหาแม่น้ำตื้นเขิน สิ่งกีดขวางทางน้ำ และการเติมน้ำแม่น้ำพิจิตรด้วย
ด้าน ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความพร้อมในการนำน้ำเข้าบึงสีไฟขณะนี้กรมชลประทานเตรียมแผนดำเนินการเรียบร้อยแล้ว หากมีปริมาณในตกในพื้นที่เพิ่มขึ้นสามารถใช้บึงสีไฟช่วยชะลอน้ำโดยนำน้ำเข้าบึงได้ทันที จากเดิมก่อนแผนขุดลอกบึงขนาดความจุเพียง 4 ล้าน ลบ.ม. แต่เมื่อกรมเจ้าท่าดำเนินการขุดลอกจะช่วยเพิ่มความจุน้ำอีกประมาณ 8 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งสิ้น 12 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งสทนช.จะเร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนหลักในการพัฒนาบึงสีไฟในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนื้ให้ได้มากขึ้น.