กรุงเทพฯ--13 ม.ค.--วอเนอร์ บราเธอร์ส
จากหน้าหนังสือของมาร์เวล คอมมิคส์ (Marvel Comics) ผู้สร้างสรรค์เรื่อง เอ็กซ์-เม็น (“X-Men”) และ “สไปเดอร์แมน” (“Spider-Man”) ตามมาด้วยเรื่อง ELEKTRA ปรากฎการณ์ภาพบนตร์แอ็คชั่นเรื่องแรกแห่งปี นักรบผู้ยืนหยัดในสงครามระหว่างความดีและความชั่ว ซึ่งเลือกสิ่งที่มีผลต่อความสมดุลย์
เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ รับบทนำเป็นนางเอกแอ็คชั่นผู้เข้มแข็ง ลึกลับ และเซ็กซี่ — มฤตยูที่ผสมผสานไว้ทั้งความงามสง่าและพลัง ไม่นานหลังจากที่ฟื้นตัวจากบาดแผลที่ดูเหมือนหนักหนาสาหัส อีเล็คตร้าตัดขาดจากทุกสิ่งในโลก มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อทำภารกิจชิ้นต่อไป แต่ด้วยเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างไม่คาดฝัน เธอถูกบังคับให้ตัดสินใจในสิ่งที่อาจนำไปสู่ทิศทางใหม่ในชีวิต — หรือทำลายตัวเธอ
ผู้มีบทบาทสำคัญในการเดินทางของอีเล็คตร้า คือ สติค อาจารย์ตาบอดที่สอนศิลปะป้องกันตัว ซึ่งรับผิดชอบต่อ “การฟื้นคืนชีพ” ของอีเล็คตร้า และมาร์ค มิลเลอร์ และแอ๊บบี้ มิลเลอร์ พ่อกับลูกสาวที่กำลังหลบหนีจาก เดอะแฮนด์ (The Hand) กลุ่มอิทธิพลที่เหล่าสมาชิกได้รับการฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวด้านมืดของ นินจิซึ (ninjitsu)
หลังจากที่เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ได้ปรากฎตัวอย่างสั้นๆ เพื่อเป็นการหยั่งเชิงในบทอีเล็คตร้า ในภาพยนตร์ของ Fox / Regency เรื่อง “Daredevil” เมื่อปี 2003 บรรดาผู้บริหารของทั้งสองบริษัทต่างเต็มใจที่จะให้การ์เนอร์รับบทเดิม แต่คราวนี้ในภาพยนตร์ที่เป็นของเธอเอง
การ์เนอร์ได้รับการฝึกอย่างหนักและยาวนานเพื่อรับบทตัวละครที่ผดุงความยุติธรรม ในการ์ตูนเรื่องอิตของมาร์เวล : นักรบผู้ไร้ขีดจำกัด เมื่อมีความพร้อมทางร่างกายอย่างเต็มที่ และเปี่ยมทักษะด้านเทคนิคการต่อสู้หลายรูปแบบจากผลงานในซีรีส์โทรทัศน์ของเธอเรื่อง “Alias” การ์เนอร์จึงยกระดับการฝึกศิลปะป้องกันตัวของเธอภายใต้การแนะนำของบรรดาผู้ประสานงานสตันท์และผู้ออกแบบท่าการต่อสู้ของเรื่อง ELEKTRA โบนัสพิเศษของการ์เนอร์ — และบรรดาแฟนการ์ตูนจำนวนมหาศาล — ก็คือในคราวนี้อีเล็คตร้าจะสวมชุดสีแดง ซึ่งตรงกันกับสีของชุดที่ตัวละครในการ์ตูนของมาร์เวลสวมใส่ในเรื่อง
แซค เพนน์ (“X2”) และคู่หูเขียนบทภาพยนตร์ สจ๊วต ซิคเคอร์แมน & เรแวน เมทซ์เนอร์ ได้เขียนบทที่นำพาให้ ELEKTRA จากหนังสือการ์ตูนสู่จอใหญ่
เมื่อได้การ์เนอร์มาร่วมงาน และสคริปท์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ร็อบ โบว์แมนได้เข้าร่วมการทำงานสร้างในฐานะผู้กำกับฯ ชื่อเสียงของโบว์แมนนับได้ว่าเป็นผู้นำทีมสร้างภาพยนตร์ที่ไม่เคยด่างพร้อย : เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาอำนวยการสร้างและกำกับการแสดงจากซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง“The X-Files” เคยกำกับฯ ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเรื่อง “The X-Files” และกำกับฯ ผลงานไซไฟผจญภัยเรื่อง “Reign of Fire” ภาพยนตร์เรื่อง ELEKTRA อำนวยการสร้างโดยอาร์นอน มิลแคน (“Man on Fire”), แกรี่ ฟอสเตอร์ (“Daredevil”) และอาวี อาหรัดแห่งมาร์เวล (“Spider-Man 2”)
ทีมผ้สร้างได้ดึงเอาคุณสมบัติพิเศษแทบทั้งหมดของอีเล็คตร้าภายในจักรวาลของหนังสือการ์ตูน อีเล็คตร้านั้นไม่เหมือนกับบรรดาฮีโร่ในหนังสือการ์ตูนเกือบทุกตัวตรงที่เธอไม่มีพลังทางกายที่เหนือมนุษย์ แทนที่จะเป็นอย่างนั้นเธอกลับใช้ความสามารถทางกายและศิลปะป้องกันตัวที่เหลือเชื่อของเธอ นอกจากนั้น เธอยังมีความสามารถมองเห็นอนาคต ทักษะที่เรียกกันว่า Kimagure ซึ่งเธอได้ขัดเกลาด้วยการฝึกสมาธิอย่างลึกล้ำเป็นเวลานานจนนับไม่ถ้วน
อีเล็คตร้าเรียนรู้วิชา Kimagure จากอาจารย์ของเธอ สติค ซึ่งมีความสงบนิ่งเหมือนกับพระ และความห้าวดิบแบบนักสู้ข้างถนน อีเล็คตร้านั้นเคยเป็นนักเรียนดาวเด่นของสติค แต่ด้วยความสามารถของเธอที่มีขีดจำกัดจนไม่อาจก้าวข้ามแรงกระตุ้นด้านมืดของตนเอง จนเป็นเหตุให้เธอถูกขับออกจากอาณาเขตการฝึกของสติค
สติคได้เคยช่วยให้อีเล็คตร้าฟื้นคืนสู่ชีวิต ดังนั้นในเวลาต่อมาเมื่อเขายืนกรานให้เธอออกจากกลุ่ม อีเล็คตร้าจึงรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ทุกพันธการที่มีต่อโลกแตกสลายสิ้น เธอสวมหน้ากากของมือสังหาร โดยลำพังเพื่อรับใช้ความตาย เธอได้พบที่ซึ่งมืดมนพอที่จะหลบซ่อน
“ในเรื่องของเรา” ผู้อำนวยการสร้างอาวี อาหรัด กล่าว “สติคปล่อยอีเล็คตร้าไป แล้วทดสอบกับเธอ มันเป็นสถานการณ์ที่ต้องเลือกทำหรือไม่ก็ตาย อีเล็คตร้ามีภารกิจที่เธอต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ — กำจัดพ่อและลูกสาวที่กำลังอยู่ระหว่างการหลบหนีจากกลุ่มมือสังหารนินจาที่รู้จักกันในนามเดอะแฮนด์ — แต่สองพ่อลูกคู่นี้ได้ช่วยให้อีเล็คตร้ารำลึกได้ถึงวันคืนที่เคยสดใสกว่านี้ในชีวิตเธอ เมื่อเธอและพ่อเคยอยู่ด้วยกัน แต่ภารกิจของเธอทำให้ต้องละเรื่องราวชีวิตส่วนตัวเอาไว้ ผลักดันให้เธอหลุดพ้นจากท่าทีถากถางผู้อื่น และก้าวไปสู่เส้นทางของการแก้แค้น”
ร็อบ โบว์แมน อยากให้ ELEKTRA เป็นการดัดแปลงจากการ์ตูนสู่ภาพยนตร์ที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่น เพื่อให้แน่ใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีทั้งสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค วิชวลเอ็ฟเฟ็ค ผลงานแอ็คชั่นของตัวเอกที่ตระการตา งานสตันท์ที่เหลือเชื่อและการต่อสู้ป้องกันตัวระดับยอดฝีมือ แต่โบว์แมนยังต้องการให้ ELEKTRA เป็นผลงานที่มีแรงผลักดันของตัวละคร “ผมคิดว่าความแตกต่างระหว่างหนังเรื่องนี้กับบรรดาหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนเรื่องใหญ่ๆ ก็คือ บางขณะในหัวสมองของอีเล็คตร้า; เรื่องราวจริงๆ นั้นอยู่ในตัวเธอ” โบว์แมนกล่าว “มีความเป็นจริงที่ไม่ได้พูดออกมาจำนวนมากในตัวเธอ แน่นอนว่าผมอยากให้ผู้ชมได้สัมผัสกับหนังแอ็คชั่นยิ่งใหญ่ และสร้างความกระหายให้กับพวกเขาในการได้ชมตัวละครไล่เตะก้นใครบางคน แต่ผมก็ยังอยากให้พวกเขาเข้าข้างอีเล็คตร้าในการเอาชนะด้านมืดที่อยู่ในตัวของเธอ”
“เธอต่อสู้กับความเป็นมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของตัวเธอเอง” เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์เสริม “มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ได้เล่น เป็นเรื่องหนึ่งที่คนทั่วไปสามารถเชื่อมโยงได้”
อันที่จริงเรื่อง ELEKTRA ให้โอกาสการ์เนอร์ได้สำรวจตัวละครที่เธอเองได้สร้างเอาไว้ในจอภาพยนตร์เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า “ในตอนท้ายของเรื่อง ‘Daredevil’ เราทิ้งอีเล็คตร้าให้อยู่ที่จุดเริ่มต้นของด้านมืดอย่างแท้จริงของเธอ” การ์เนอร์เล่า “เมื่อเรารับเธอเข้ามาในหนังเรื่องนี้ มีกำแพงน้ำแข็งที่ล้อมรอบเธออยู่ เธอโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกและเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอโดดเดี่ยว”
มาร์คและแอ็บบี้ มิลเลอร์ รับบทโดยกอแรน วิสนิคจาก “E.R.” และนักแสดงหญิงชาวแคนาดา คริสเตน เพราท์ ทั้งสองยังได้มีประสบการณ์ในรูปแบบความโดดเดี่ยว — แบบที่มาพร้อมกับการหลบหนี ต้องคอยเหลียวหลังกลับไปมอง และไม่เชื่อใจใคร “ตอนที่เราพบเธอครั้งแรก อีเล็คตร้าเป็นนักฆ่ามืออาชีพ และเป้าหมายล่าสุดของเธอก็คือตัวละครที่รับบทโดยคริสเตน เพราท์กับผมเอง!” วิสนิคเล่า “เห็นได้ชัดว่าอีเล็คตร้าเปลี่ยนใจและไว้ชีวิตพวกเขา แต่มันกลายป็นสิ่งที่มากกว่านั้น : อีเล็คตร้าเริ่มห่วงใยมาร์คและแอ็บบี้ แต่มันยากสำหรับมาร์คที่จะเฝ้าดูความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนระหว่างอีเล็คตร้ากับลูกสาวของเขา เขากลัวว่าอีเล็คตร้าจะกลายเป็นแบบอย่างให้กับเธอ”
แต่อีเล็คตร้าไม่ได้มีความปรารถนาจะให้แบบี้เดินตามรอยเท้าเธอ อีเล็คตร้าและแอ็บบี้มีความกล้ายคลึงกันโดยธรรมชาติ เพราะทั้งคู่มีความรู้สึกอย่างล้ำลึกกับการสูญเสียแม่ไปก่อนเวลาอันควร “ถ้าจะมีสักสิ่งหนึ่งที่อีเล็คตร้าจะไม่ยอมสูญเสียไป นั่นก็คือแอ็บบี้” การ์เนอร์กล่าว “เธอมุ่งมั่นที่จะปกป้องสาวน้อยคนนี้จากการกลายเป็นเหมือนเธอ และเธออาจสละชีวิตของตัวเองเพื่อให้แอ็บบี้มีโอกาส”
สำหรับวิสนิค การกระโดดจากโลกที่อยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย เป็นเหมือนห้องฉุกเฉินของโลกแห่งจินตนาการไปสู่จักรวาลของตัวละครของหนังสือการ์ตูนที่เป็นตำนาน ซึ่งเป็นสิ่งน่ายินดียิ่ง นักแสดงผู้ที่เพิ่งได้รับบทนำในมินิซีรีส์เรื่อง “Spartacus” เคยอ่านหนังสือการ์ตูนจำนวนมากตั้งแต่สมัยเป็นเด็กที่โตขึ้นมาในโครเอเชีย “มันน่าตื่นเต้นที่ได้รับบทเป็นใครสักคนในโลกแห่งนั้น” วิสนิคเล่า “เพราะว่ามันไม่ใช่โลกที่แท้จริง เราสามารถขยายขอบเขตออกไปให้ไกลกว่านั้น มันเป็นโอกาสที่จะได้สร้างจินตนาการมากขึ้น”
นักแสดงชื่อดังเทอเรนส์ สแตมพ์ ซึ่งมีความผูกพันอย่างแน่นหนาอยู่เป็นทุนเดิมกับโลกของปรากฎการณ์ใหญ่ การดัดแปลงจากกหนังสือการ์ตูนสู่ภาพยนตร์ จากที่เขาเคยรับบทนายพลซ็อด จอมวายร้ายใน เรื่อง “Superman” และ “Superman II” ในตอนแรกเขาลังเลที่จะทำงานกับหนังประเภทนี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในที่สุดสแตมพ์ก็ยอมแพ้หลังจากที่เขาถูกเกลี้ยกล่อมอย่างไม่ยอมแพ้โดยทีมผู้สร้าง “เราตั้งใจอย่างมากที่จะได้ตัวเทอเรนส์” ผู้อำนวยการสร้างแกรี่ ฟอสเตอร์บอก “นายพลซ็อดยังเป็นหนึ่งในบรรดาตัวละครที่ยิ่งให่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูน และเรารู้ว่าเทอเรนส์จะสามารถสร้างมนตร์ขลังเช่นนั้นได้ให้กับเรื่อง ELEKTRA ในบทสติค”
บทบาทนี้มีความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับสแตมพ์ เนื่องจากสติคนั้นตาบอดแต่เป็นที่รู้กันมีความสามารถในการ “มองเห็น” ที่ดียิ่งไปกว่าคนที่มีสายตาดีเกือบทั้งหมด “ในตอนต้นผมพยายามสื่อความมืดบอดด้วยการหลับตา” สแตมพ์ทบทวน “มันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีนักแสดงทำกัน และผมชอบทำสิ่งที่เป็นของดั้งเดิมถ้าทำได้” ในที่สุดสแตมพ์ก็แสดงบทนี้โดยลืมตา “มันยังคงต้องใช้สัมผัสของความว่างเปล่าแบบที่ต่างออกไป” เขาอธิบาย “เราสามารถเห็นได้อย่างแน่นอนถ้าตาของเราเปิดอยู่ แต่ถ้าเล่นบทตาบอดเราไม่จำเป็นต้องมองไปที่ๆ จะไปหรือคนที่คุยอยู่ด้วย มันจึงเป็นเหมือนการมองเห็นด้านข้างที่มากับการแสดง”
ความสัมพันธ์ระหว่างสติคกับอีเล็คตร้า เซนเซกับศิษย์ เป็นศูนย์กลางของเรื่อง สติคเป็นผู้เชิดหุ่น ทำให้เหตุการณ์เคลื่อนไหว และเข้าแทรกแซงเฉพาะเมื่อจำเป็นในการนำทางเพื่อความก้าวหน้าของนักเรียน “อีเล็คตร้าอยากให้สติคเป็นเซนเซของเธอ แต่เธอไม่จ้องการทำในสิ่งที่เขาบอกให้ทำ” สแตมพ์เล่า “แม้ว่าเขามักจะดูเหมือนอยากวางมือจากเธอ เขามีมุมมองบางอย่าง และวิธีที่จะทำให้เธอทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ด้วยเล่ห์ก็ด้วยกล พูดกันตรงๆ ทางตะวันออกมีคำกล่าวว่าครูต้องการศิษย์ที่เก่งมากกว่าศิษย์ที่เก่งจะต้องการครู ดังนั้นผมคิดว่ามันมีภาวะพึ่งพิงซึ่งกันและกันในความสัมพันธ์ของทั้งสอง”
เมื่ออีเล็คตร้าตกลงใจที่จะช่วยมาร์คและแอ็บบี้ เธอก็เช่นเดียวกันที่กลายเป็นเป้าหมายของเดอะแฮนด์ ทีมนินจาซึ่งเหล่าสมาชิกมีทักษะในการใช้มนตร์ดำ ผู้เป็นยอดฝีมือคือคิรีกิ รับบทโดย วิล ยุน ลี (“Die Another Day”) คิรีกิเป็นยอดนักดาบและเชี่ยวชาญวิชา Kimagure และวิล ยุน ลีเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ป้องกันตัวมานานแล้ว “พ่อของผมเป็นหนึ่งในบรรดาปรมาจารย์เทควันโด้รุ่นแรกที่มายังสหรัฐฯ” ลีเล่า “ผมจึงได้เรียนศิลปะป้องกันตัวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก”
ทีมของคิรีกิประกอบด้วย แท็ททู, ไทฟอยด์, สโตน และคินคู — แท็ททูรับบทโดยคริส แอคเคอแมน สืบทอดพลังแห่งมนตรา เช่นเดียวกันกับชื่อของสัตว์ที่เขาสักไว้บนผิวหนัง เขาสามารถสั่งให้พวกมันออกจากร่างกาย มีตัวตนขึ้นมาในโลกจริง และทำตามคำสั่งของเขา ขั้นตอนเบื้องหลังการสัก ซึ่งต้องลอกภาพเขียนด้วยหมึกและลงสีฝุ่น ทำให้ทีมงานแต่งหน้าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คของเรื่อง ELEKTRA ใช้เวลาหกชั่วโมงในการตกแต่ง
ไทฟอยด์ ซึ่งรับบทโดยแนแทสเซีย มัลธี ชาวแคนาดา เป็นสตรีแห่งมฤตยูอย่างแท้จริง: ทุกสิ่งที่เธอจับต้องจะตายสิ้น บ็อบ แซพพ์ ซึ่งรับบทสโตน เป็นชายรูปร่างใหญ่เท่าภูเขา ด้วยความสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว และมีน้ำหนัก 374 ปอนด์ ร่างกายของสโตนแกร่งราวกับหินผา จนแม้กระทั่งอาวุธเด็ดของอีเล็คตร้า ไซส์ (กริชคู่ที่มีปลายสามง่าม) ยังหักเมือกระทบกับตัวเขา คินคูซึ่งรับบทโดยเอ็ดสัน ที ริเบโร เป็นคนที่ไม่มีวันล้ม สัมผัสแห่งสมดุลย์ของเขานั้นเหนือมนุษย์ ริเบโร ชาวบราซิล เป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ของประเทศ และมีความสามารถในการใช้ท่าคาโปอิรา ซึ่งผสมผสานการเต้นกับศิลปะป้องกันตัว
ELEKTRA ถ่ายทำในและรอบบริเวณเมืองแวนคูเวอร์ บริติชโคลัมเบีย การตัดสินใจถ่ายทำส่วนใหญ่ของหนังในฉากที่เป็นธรรมชาติ เป็นการทิ้งภูมิทัศน์ที่หยาบกระด้างของเมืองของหนังที่ดัดแปลงจากการ์ตูนเรื่องอื่นๆ “ป่าไม้ที่ล้อมรอบแวนคูเวอร์เป็นสิ่งที่ตระการตามาก” ร็อบ โบว์แมนกล่าว “มันมีความสดใหม่ที่น่าเชื้อเชิญเข้ามาในโลกหนังสือการ์ตูน ด้วยสีและแสงเหล่านี้”
“เราพยายามที่จะเก็บแบ็คกราวน์ให้นุ่มนวลและไม่โอ้อวดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นพวกตัวละครจะดูโดดเด่น” ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ แกรม เมอร์เรย์กล่าวเสริม “มันถูกออกแบบเป็นสไตล์ของหนังสือการ์ตูนในแบบนั้น”
อีกหนึ่งแกนสำคัญที่ได้รับการนำเสนอโดยการออกแบบฉาก คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังที่ตรงกันข้ามระหว่างแสดงและความมืด อย่างที่ได้ถูกแสดงไว้โดย The Chaste (กลุ่มนินจาฝ่ายดีภายใต้การนำของสติค) และ The Hand ห้องประชุมของเดอะแฮนด์ ซึ่งเราได้พบกับคีริกิและทีมของเขาเป็นครั้งแรก แลดูลื่นไหล ทันสมัยแบบคนเมือง มีผิวหน้าที่แข็งและสะท้อนเงา ตั้งอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์เมืองโตเกียวบนชั้นสูงสสุดของตึกระฟ้า ในทางตรงข้าม ค่ายฝึกที่เงียบสงบบนภูเขาของสติค ตั้งอยู่กลางป่าโล่งที่มองเห็นวิวของยอดเขาที่แลดูสง่างามยิ่งนัก
องค์ประกอบหลักของภาพทั้งหมดในภาพยนตร์ก็คือการอกแบบเครื่องแต่งกาย แฟนๆ และทีมผู้สร้างก็มีความยินดีเช่นเดียวกันที่ชุดของอีเล็คตร้าในจอใหญ่จะเป็นสีแดงซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของตัวละครในการ์ตูน “มันเป็นเรื่องสำคญมากสำหรับฉัน สำหรับเจนนิเฟอร์ และฉันที่รู้ สำหรับแฟนๆ ที่คราวนี้ชุดจะเป็นสีแดง” ลิซ่า ทอมเซซิน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายบอกเล่า “นอกจากนั้นเรายังได้รวบรวมเอาไว้ซึ่งองค์ประกอบจำนวนมากอย่างเสื้อรัดทรงลูกไม้ กางเกงเอวต่ำ และรองเท้าบู๊ตสูงตามแฟชั่น ด้วยตระหนักว่าอีเล็คตร้า แนทชิโอส์ เป็นหญิงสาวที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในโลก เธอสวมใส่ผลงานทุกยี่ห้อของดีไซเนอร์ที่สำคัญๆ”
ในการออกแบบเครื่องแต่งกายทอมเซซินต้องใส่ใจในเรื่องความสมจริง เช่นเดียวกับหลายๆ ฉากที่เป็นแอ็คชั่นและการต่อสู้ “ในตอนเริ่มแรกฉันอยากให้ชุดของเธอดูออกเป็นแนวนักกีฬา แต่มันกลายเป็นว่าเนื้อผ้าที่ฉันอยากใช้ดูเรียบเกินไปในหนัง” ทอมเซซินบอก “ดังนั้นฉันจึงต้องใส่นวมยืดเข้าไปตรงช่วงขากางเกง ตัวเสื้อรัดรูปถูกขึงเพื่อไม่ให้ติดขัดในการเคลื่อนไหวของหัวไหล่หรือแขน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการใช้งานของไซส์ อาวุธของเจนนิเฟอร์ แต่โชคไม่ดีที่มันไม่มีที่สำหรับซ่อนนวมสตันท์”
ไม่ว่ามีนวมสตันท์หรือไม่ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ต้องฝึกหนักก่อนและระหว่างการถ่ายทำ วันของเธอมักจะเริ่มก่อนรุ่งสาง เมื่อเธอเริ่มฝึกตั้งแต่ตี 4 ก่อนเตรียมพร้อมเพื่อเข้าฉาก “อีเล็คตร้าเป็นยอดฝีมือนักต่อสู้ป้องกันตัว และฉันได้ทุ่มเททั้งหัวใจ ร่างกาย และวิญญาณให้กับการฝึกของเขา” การ์เนอร์กล่าว “โชคดีนะที่ฉันมี ‘Daredevil’ และสามปีกับ ‘Alias’ อยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน”
งานวิชวลเอ็ฟเฟ็คบางอย่างได้ถูกผสมผสานไว้ในฉากการต่อสู้ แต่งานสตันท์เกือบทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ด้วยการใช้เอ็ฟเฟ็คของจริง ผู้ประสานงานสตันท์และออกแบบท่าการต่อสู้ ไมค์ กุนเธอร์ ได้สร้างสรรค์ฉากการต่อสู้จำนวนมากให้กับเรื่อง ELEKTRA แต่ละท่าล้วนมาจากเทคนิคการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีเอกลักษณ์ ทั้งในแนวความคิดและการแสดงออก “เจนนิเฟอร์ต่อยมวยนิดหน่อย ท่าวูชู และสไตล์การต่อสู้หนักๆ อย่างโชดูกัน” กุนเธอร์กล่าว “มันเป็นการผสมกันอย่างละนิดละหน่อย”
“เราฝึกแตกต่างกันออกไปสำหรับการต่อสู้แต่ละครั้ง” การ์เนอร์กล่าว “ยกตัวอย่างเช่น การต่อสู้ ‘โบ สติค’ ฉันใช้เวลาสองสามเดือนในการฝึก ในตอนที่เราถ่ายฉากนี้ฉันมีพัดลมอันยักษ์เป่าหน้า และผมก็ปลิวเข้าตาฉัน ตามเรื่องราวฉันกำลังต่อสู้อย่างมืดบอดกับผู้ชายห้าคน แต่ฉันซ้อมมากเสียจนรู้ว่าถ้าฉันเหวี่ยงไม้ไปในจุดที่ใช่ การต่อสู้ก็จะถูกต้อง ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ได้ยินเสียง ‘คลิก, คลิก, คลิก’ ของไม้ฉันกระทบกับไม้ของพวกเขาและมันน่าตื่นเต้นมาก นั่นคือเหตุผลที่ฉันฝึกหนักมาก …เพราะฉนั้นในวันถ่ายทำฉันจึงไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ ถึงพวกเขาผูกตาฉันไว้และจับห้อยหัวลง ฉันก็ยังทำถูกต้องได้!”
อีเล็คตร้าใช้อาวุธเด็ดของเธอ — กริชคู่ที่มีปลายสามง่ามที่รู้จักกันในชื่อ ไซส์ ในการต่อสู้ทุกครั้งยกเว้นการต่อสู้โบสติค เหล่าดาราและทีมงานต่างพากันทึ่งในความสามารถใช้ไซส์ของการ์เนอร์ ในเวลาที่เธอทำให้ดูเหมือนว่าอาวุธชนิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแขนเธอ “มันเป็นการทำตัวสบายๆ กับอาวุธ สามารถควงมันไปได้ทุกทิศทาง และดูเหมือนว่าคุ้นเคยกับการถือมันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก” กุนเธอร์กล่าว “เจนนิเฟอร์ทำได้อย่างชำนาญมาก”
ความตื่นเต้นของการ์เนอร์ในการนำตัวละครในการ์ตูนอันเป็นที่รักมาสู่ภาพยนตร์ เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด “ฉันคิดว่าผู้ชมจะถูกชักพาให้คล้อยตามไปกับการขับเคลื่อนของอารมณ์ของอีเล็คตร้า” เธอกล่าว “เราจะได้เห็นว่าทำไมเธอจึงเป็นอย่างนั้น และทำไมมันจึงไม่เป็นไปอีกแล้ว เราจะได้เห็นความก้าวหน้าของมิตรภาพ และเรื่องราวของความรักเล็กน้อย เราจะได้เห็นงานแอ็คชั่นยิ่งใหญ่ ฉันรู้ว่าฉันทำงานหนักสำหรับบทนี้เท่าที่จะทำได้ ฉันสัญญาว่า…มันต้องสนุกแน่!”
นักแสดง
เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ แสดงเป็น อีเล็คตร้า แนทชิโอส์ นักรบสาวเก่งกล้าที่งามสง่าและมีฝีมือเป็นที่เลื่องลือ เป็นชาวชาร์ลสตัน รัฐเวอร์จิเนียตะวันตกโดยกำเนิดเป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากการแสดงในซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงเรื่อง “Alias” การ์เนอร์ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ 3 รางวัลจากการแสดงของเธอที่แสดงเป็นสายลับสองหน้า ซิดนีย์ บริสโทว์ บทบาทของเธอในเรื่อง “Alias” ยังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง 3 รางวัลและรางวัล Screen Actors Guild? หนังเรื่อง “Alias” ได้รับรางวัล People’s Choice Award สาขา Best New Drama Series
การ์เนอร์เป็นผู้เริ่มต้นบทของอีเลคตร้า แนทชิโอส์ ในภาพยนตร์ของ ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ / รีเจนซี่ เอ็นเตอร์ไพรซ์ เรื่อง “Daredevil” เค้าโครงเรื่องจากหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล ในภาพยนตร์เรื่องนั้รการ์เนอร์ได้แสดงร่วมกับ เบน แอ็ฟเฟล็คซึ่งยังมี โคลิน ฟาร์เรล ไมเคิล คลาร์ก ดันแคน และจอน ฟาฟโร
ปีที่แล้วการ์เนอร์ได้แสดงในภาพยนตร์ฮิตระเบิดของ Revolution Studios เรื่อง “13 Going On 30” ร่วมแสดงกับ มาร์ค รัฟฟาโล ซึ่งเธอได้แสดงเป็น เจนนา ริคสาวน้อยวัย 13 ปี ที่พบว่าตัวเองติดอยู่ในร่างของสาวนักบริหารวัย 30
การ์เนอร์ได้รับบทคู่กับ ลีโอนาโด ดิคาปรีโอในเรื่อง “Catch Me If You Can,” กำกับฯโดย สตีเวน สปิลเบิร์ก ก่อนหน้านั้นการ์เนอร์ได้แสดงในเรื่อง “Pearl Harbor”คู่กับ เบน แอ็ฟเฟล็คและ โจช ฮาร์ตเนตต์และในภาพยนตร์คอมเมดี้ของ ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์เรื่อง “Dude, Where’s My Car?” ผลงานการแสดงภาพยนตร์อื่นๆของเธอได้แก่ เรื่อง “Mr. Magoo,” “Deconstructing Harry,” “1999” และ “Washington Square”
ผลงานโทรทัศน์ของการ์เนอร์ได้แก่ บทประจำซีรีส์ในดราม่าทั้งสองเรื่องของเจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิตต์ เรื่อง “Time of Your Life” และ “Significant Others” รวมทั้งบทบาทที่ได้รับอีกครั้งในเรื่อง “Felicity” เธอได้เป็นดารารับเชิญใน “Spin City” และ “Law and Order” และได้แสดงในภาพยนตร์โทรทัศน์ “Rose Hill ” “Dead Man’s Walk ” “Zoya” และ “Harvest Fire”
โกแรน วิสนิค แสดงเป็นมาร์ค ชายที่อยู่ระหว่างหลบหนีเพื่อปกป้องลูกสาวของเขาได้รับความสนใจจากฮอลลีวู้ดเมื่อเขาแสดงภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกในหนังที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เร่อง “Welcome to Sarajevo” กำกับฯโดย ไมเคิล วินเทอร์บัททัม เขาแสดงเป็น ดร.ลูกา โคแวกในหนังดราม่าที่ฉายอย่างยาวนานของ NBC เรื่อง “E.R.” เมื่อเร็วๆนี้ Visnjic ได้แสดงบทนำในภาพยนตร์ของสหรัฐฯเรื่อง “Spartacus”
วิสนิคได้รับคำชมเชยเป็นอย่างมากจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์ของฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์ เรื่อง “The Deep End” แสดงคู่กับ ทิลดา สวินตัน ผลงานภาพยนตร์อื่นๆของเขาได้แก่ ภาพยนตร์ตื่นเต้นสยองขวัญเรื่อง “Close Your Eyes” พากย์เสียงเป็น โซโต ในภาพยนตร์แอนนิเมชั่นสุดฮิตของ ฟ็อกซ์เรื่อง “Ice Age” ภาพยนตร์ของ มิราแม็กซ์เรื่อง “Committed” คู่กับ ฮีทเธอร์ เกรแฮม, เรื่อง “Practical Magic” แสดงกับ นิโคล คิดแมนและแซนดร้า บูลล็อค และเรื่อง “The Peacemaker” แสดงคู่กับ จอร์จ คลูนีย์
วิสนิคเติบโตในโครเอเชีย ชายฝั่งทะเลเอเดรียติค เขาตัดสินใจเป็นนักแสดงตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อย และต่อมาได้เข้าศึกษาที่ Academy of Dramatic Arts in Zagreb ที่นั่นเขาได้รับ 3 รางวัลแห่งชาติสาขา Best Actor ได้แก่รางวัล Orlando (รางวัลของโครเอเชียที่เทียบเท่ากับ Tony Award?) จากการแสดงของเขาในเรื่อง “Hamlet” ที่ Dubrovnik Summer Festival ผลงานด้านละครเวทีอื่นๆของเขาได้แก่เรื่อง “Les Fourberies de Scapin,” “Le Ecole Des Femmes,” “Miss Julie,” “Ivanov,” “The Brothers Karamazov” และ “Le Baruffe Chizotte”
วิล ยุน ลี แสดงเป็น คีริกิ สมาชิกหัวรุนแรงของแกงค์เดอะแฮนด์ และเป็นคู่แค้นของอีเล็คตร้า เขาเคยแสดงในภาพยนตร์เป็นนายพันมูนในหนังเจมส์ บอนด์ เรื่อง “Die Another Day” เมื่อไม่นานนี้ ลีได้แสดงคู่กับเบหลิงในภาพยนตร์เรื่องฮิตของ Sundance เรื่อง “Face” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ “Torque” และ “What’s Cooking” ลีเพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์ไพล็อท FX เรื่อง “Thief” แสดงคู่กับอังเดร บราเฟอร์ ผลงานทางโทรทัศน์ของเขารวมถึงบทบาท แดนนี่วู ในซีรีส์ทาง TNT เรื่อง “Witchblade”
แครี่-ฮิโรยูกิ ทากะวา แสดงเป็น โรชิ หัวหน้าแกงค์เดอะแฮนด์ ทากะวา มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อได้รับคัดเลือกให้แสดงในภาพยนตร์ของเบอร์นาโด เบอร์โตลุคชี เรื่อง “The Last Emperor” ต่อมาเขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Planet of the Apes,” “Rising Sun,” Mortal Kombat” และ “The Phantom” ผลงานภาพยนตร์หลายเรื่องของทากะวา รวมถึง “Pearl Harbor,” “Speedball,” “The Ghost,” “The Art of War” และ “Snow Falling on Cedars”
ทากะวาแสดงในซีรีส์โทรทัศน์ทาง CBS เรื่อง “Nash Bridges” และมีบทที่กำลังออกอากาศในซีรีส์เรื่อง “Space Rangers” เขาเป็นนักแสดงรับเชิญในเรื่อง “Babylon 5” และ “Star Trek TNG” และเขาได้แสดงในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง “Baywatch: Hawaiian Wedding,” “NetForce” และ “Johnny Tsunami”
เทอเรนส์ สแตมพ์ แสดงเป็นสติค อาจารย์ของอีเล็คตรา สแตมพ์แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาในหนังดัดแปลงจากผลงาน ปี 1962 ของเฮอร์แมน แมลวิลล์ โดยปีเตอร์ อุสตินอฟ ในเรื่อง “Billy Budd” สแตมพ์ได้รับบทนำซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง และรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงหน้าใหม่และผู้ได้รับความสนใจในระดับสากล
สแตมพ์แสดงในเรื่อง “The Limey” ของผู้กำกับฯ สตีเวน โซเดอเบิร์กซึ่งสแตมพ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Best Male Lead ที่ 2000 Independent Spirit Awards รวมทั้งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Best Actor ที่ London Film Critics Circle (ALFS) Awards สแตมพ์แสดงในภาพนตร์ดัดแปลงจากผลงานของจอห์น ฟาวเลส โดยวิลเลียม ไวเลอร์ เรื่อง “The Collector” ซึ่งเขาได้รับรางวัล Best Actor at the Cannes Film Festival หนังของโจเซฟ โลซีย์ เรื่อง “Modesty Blaise” หนังดัดแปลงจากงานของโธมัส ฮาร์ดีย์ โดยจอห์น ชเลซิงเจอร์ เรื่อง “Far From the Madding Crowd” และในภาพยนตร์เรื่องแรกของเคน โลช เรื่อง “Poor Cow” หนึ่งในทางเลือกที่สแตมพ์โปรดที่สุดคือผลงานคอมเมดี้เรื่อง “The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert,” ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขา Best Actor
อาชีพที่สร้างชื่อเสียงและยาวนานของสแตมพ์ รวมไปถึงบทบาทในหนังขของเฟเดอริโก เฟลลินี เรื่อง “Toby Admit,” หนังของเพียร์ พาโล พาโซลินี เรื่อง “Teorama” หนังของอลัน คุก เรื่อง “The Mind of Mr. Soames,” หนังของริชาร์ด ดอนเนอร์ เรื่อง “Superman,” และหนังของริชาร์ด เลสเตอร์ เรื่อง “Superman II” ผลงานภาพยนตร์มากมายของเขา ได้แก่ “Meetings With Remarkable Men,” “The Hit,” “Link,” “Legal Eagles,” “The Sicilian,” “Wall Street,” “Prince of Shadows” และ งานของแฟรงค์ ออซ “Bowfinger”
ทีมงาน
ร็อบ โบว์แมน (ผู้กำกับการแสดง) เป็นผู้กำกับเจ้าของรางวัลทรงเกียรติ ที่ได้ดูแลผลงานซีรีส์โทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์และคำชมจากนักวิจารณ์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
โบว์แมนอำนวยการสร้างและกำกับฯ หลายตอนให้กับเรื่อง “The X-Files” ซึ่งเขาได้รับสามรางวัลลูกโลกทองคำ และเข้าชิงสามรางวัลเอ็มมี่ ในปี 1998 เขาได้ทำให้ตัวละครของเรื่อง “The X-Files” ขึ้นสู่จอภาพยนตร์ ในฐานะผู้กำกับฯของภาพยนตร์เรื่อง
ล่าสุดโบว์แมนได้กำกับฯ ภาพยนตร์เรื่อง “Reign of Fire” นำแสดงโดยแมทธิว แมคคอฟนีย์ และคริสเตียน เบล ให้กับ Spyglass Entertainment และ Touchstone Pictures
ผลงานอื่นๆ ของโบว์แมน รวมไปถึงซีรีส์ฮิตอีกกว่า 20 เรื่อง ได้แก่ “Star Trek: The Next Generation,” “Alien Nation,” “The Hat Squad,” “21 Jump Street” และ “MacGyver” เขาเป็นผู้กำกับฯ ภาพยนตร์เรื่อง “Airborne”
แซค เพนน์ (ผู้เขียนบท) เคยเขียนบทภาพยนตร์ให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมทั้ง “X2,” “Behind Enemy Lines,” “PCU” และ “Last Action Hero”
ผลงานกำกับฯ ภาพยนตร์เรื่องแรกของเพนน์ “Incident at Loch Ness,” เรื่องราวบันทึกของผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดัง เวอร์เนอร์ เฮอร์ซอค ในการตามล่าหาปีศาจล็อคเนสที่ลึกลับ เรื่อง “Incident” ได้รับรางวัล New America Cinema Award ที่เทศกาลภาพยนตร์ 2004 Seattle International Film Festival
ภาพยนตร์ที่กำลังจะตามมาซึ่งเขียนบทโดยเพนน์ ได้แก่ “Spy Hunter” นำแสดงโดยดเวนย์ เรื่อง “The Rock’ จอห์นสัน, รวมทั้ง “Suspect Zero,” นำแสดงโดย เซอร์ เบน คิงสลีย์ และแครี่-แอน มอส
(ยังมีต่อ)