กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--แอลจี-วัน ประเทศไทย
พร้อมเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง ก้าวผ่านวิกฤตเศรษฐกิจและสาธารณสุขระดับโลก
ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2563 ของแอลจี อีเลค ทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก โดยรายได้รวมมูลค่า 1.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3.26 แสนล้านบาท) ซึ่งลดลงร้อยละ 17.9 จากช่วงเวลาเดียวกันในปี พ.ศ. 2562 ในขณะที่ผลกำไรจากการดำเนินงานมีมูลค่า 405.65 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.1 เมื่อเทียบกับผลกำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเข้มแข็งและสามารถจัดการซัพพลายเชนและโครงสร้างต้นทุนให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุขระดับโลกได้สำเร็จ
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ รายงานผลประกอบการอยู่ที่ 4.22 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.31 แสนล้านบาท) ณ ไตรมาสที่ 2 ลดลงร้อยละ 15.5 จากไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ.2562 เนื่องด้วยผลกระทบจากความต้องการที่ลดลงทั่วโลกระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาด รายได้จากการดำเนินงานมีมูลค่า 514.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.59 หมื่นล้านบาท) ลดลงร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ร้อยละ 12.2 มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศมีโอกาสเติบโตมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากความใส่ใจในการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ได้รับผลกระทบด้านรายได้และผลกำไรของไตรมาสที่ 2 จากมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งรวมถึงการปิดทำการของร้านค้าปลีกต่างๆ ส่งผลให้มียอดขายมูลค่า 1.85 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.74 หมื่นล้านบาท) ลดลงร้อยละ 24.4 จากไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ.2562 และรายได้จากการดำเนินงานมูลค่า 92.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.86 พันล้านบาท) ลดลงร้อยละ 25.9 และแม้ว่ากลุ่มนี้จะเดินหน้าลดต้นทุนด้านวัสดุในการผลิตต่างๆ และควบคุมการลงทุนด้านการตลาดอย่างแข็งขัน แต่ยังคงเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ทีวีระดับพรีเมียม เพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ และปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้เหมาะสมที่สุด เพื่อสร้างผลกำไรโดยรวมให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ รายงานยอดขายประจำไตรมาส 2 ที่ 1.07 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3.32 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.1 จากไตรมาสที่ 1 ส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญนี้เกิดจากการเริ่มเปิดตลาดหลังจากการคลี่คลายมาตรการล็อคดาวน์ ผลการดำเนินงานขาดทุนมูลค่า 169.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.24 พันล้านบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับทั้งไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ.2562 และไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ.2563 ซึ่งเป็นผลจากประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น การเปิดตัวระดับโลกของ LG VELVET ในไตรมาสที่ 3 รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นที่มีราคาดึงดูดซึ่งมีการคาดการณ์ไว้ว่าจะช่วยสร้างแรงผลักดันให้กับผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนของแอลจี ช่วยสร้างการเติบโตทั้งในเชิงยอดขายและผลกำไร
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ รายงานรายได้ประจำไตรมาสที่ 746.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.32 หมื่นล้านบาท) ลดลงร้อยละ 40 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานขาดทุนที่ 165.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.14 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการปิดโรงงานของบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลกเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาด คาดการณ์ว่าความต้องการต่อผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่กลับมาดำเนินงานอีกครั้ง
กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร รายงานยอดขายที่ 1.07 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3.32 หมื่นล้านบาท) ณ ไตรมาสที่ 2 ลดลงร้อยละ 12.7 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลงที่ 80.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.5 พันล้านบาท) เพื่อจัดการกับความท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสเชิงธุรกิจตามเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่าง “untact” ซึ่งมุ่งเน้นลดการพบปะระหว่างลูกค้าและพนักงาน ซึ่งกลุ่มนี้มีความมุ่งมั่นในการเพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์จอเชิงพาณิชย์ระดับพรีเมียม ด้วยการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านแผงโซล่าเซลล์และเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดธุรกิจโทรคมนาคมและการเรียนทางไกล
ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของไตรมาสที่ 4 ปี 2562
รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2563 อยู่ที่ 31 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)
เกี่ยวกับ แอลจี อีเลคทรอนิคส์
แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ เป็นผู้สร้างนวัตกรรมระดับโลกทั้งด้านเทคโนโลยีและการผลิตใน 140 แห่ง พร้อมพนักงานมากกว่า 70,000 คนทั่วโลก ในปี 2018 ยอดขายทั่วโลกอยู่ที่ 54.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยแอลจีประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจห้ากลุ่ม คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชั่นส์เครื่องปรับอากาศ โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ โทรศัพท์มือถือ โซลูชั่นส์ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ทั้งนี้ แอลจีถือเป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ที ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียมอย่าง LG SIGNATURE และ LG ThinQ ที่มาพร้อมกับปัญญาประดิษฐ์หรือ AI สำหรับข้อมูลข่าวสารล่าสุดของแอลจี สามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.LGnewsroom.com
เกี่ยวกับ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ ในประเทศไทย
บริษัทแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ประเทศไทย (จำกัด) หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านภายใต้แบรนด์ แอลจี โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นแบรนด์ชั้นนำของเมืองไทยที่จะเติมเต็มชีวิตของผู้บริโภคชาวไทยด้วยนวัตกรรมระดับโลกโดยในประเทศไทยนั้น ประกอบไปด้วย 3 หน่วยธุรกิจสำคัญ ได้แก่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ธุรกิจเครื่องปรับอากาศและโซลูชั่นด้านพลังงานแอลจีเป็นผู้นำด้านการผลิตทีวีจอแบน อุปกรณ์ภาพและเสียง เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็นที่มีคุณภาพระดับโลก นอกจากผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ เทคโนโลยีและคุณภาพที่วางใจได้แล้ว แอลจียังมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ผ่านกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบที่น่าสนใจและหลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับสโลแกน “Life’s Good” ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแอลจีได้ที่ www.LGnewsroom.com และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอลจี ประเทศไทย ได้ที่ www.lg.com/th