กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--กระทรวงการคลัง
“สันติ”เร่งรัดกรมธนารักษ์ ใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุทิ้งร้าง เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก รับนโยบายนายกฯ พัฒนาที่พักอาศัยให้ข้าราชการ 4 หมื่นยูนิตทั่วประเทศ ผ่อนชำระเพียง 2-3 พันบาทต่อเดือน อยู่อาศัยนาน 30 ปี คาดเปิดจองเฟสแรกปลายเดือน ก.ค.นี้ พร้อมนำที่ดินริมน้ำ จังหวัดนครสวรรค์ 500 ไร่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ ผุดต้นแบบตลาดกลางสินค้าเกษตรสมุทรปราการ 50 ไร่
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังหารือร่วมกับผู้บริหารกรมธนารักษ์ว่า ได้มอบนโยบายให้กรมธนารักษ์ไปเร่งดำเนินการนำที่ดินราชพัสดุที่ถูกทิ้งร้างทั่วประเทศมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ด้วยการเข้าไปพัฒนาที่ดินในรูปแบบโครงการต่างๆ และเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในด้านการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับข้าราชการพลเรือนในราคาที่เหมาะสม ซึ่งเรื่องดังกล่าว กรมธนารักษ์ได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยกับสถานที่ทำงาน และศูนย์บริการของข้าราชการพลเรือน เป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างกรมธนารักษ์และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) โดยได้มีการเตรียมเปิดตัวโครงการและเปิดให้จองที่พักอาศัยช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2563 หรือต้นเดือนสิงหาคม 2563 ในระยะแรกเปิดให้จอง 800 -1,000 ยูนิต ใน 10 จังหวัด ทั่วประเทศ และในระยะที่ 2 อีก 5,000 - 10,000 ยูนิต ซึ่งได้มอบหมายให้กรมธนารักษ์ไปหาพื้นที่ที่เหมาะสม โดยเร่งให้ไปสำรวจที่ดินราชพัสดุทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพื่อดูว่าพื้นที่ตรงไหนเหมาะสมในการพัฒนาโครงการ ไม่น้อยกว่า 10,000– 40,000 ยูนิต ซึ่งข้าราชการสามารถอยู่อาศัยระยะยาวได้นาน 30 ปี โดยผ่อนชำระผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3% ต่อปี ผ่อนชำระราคาไม่เกิน 2,000-3,000 บาทต่อเดือน และสามารถโอนสิทธิเปลี่ยนมือระหว่างข้าราชการด้วยกันได้ซึ่งแนวทางดังกล่าว จะเป็นช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและถือเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการชั้นผู้น้อยได้มีบ้านพักอาศัยเป็นของตนเอง และถือเป็นทรัพย์สินได้อีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุที่น่าสนใจ เช่น ที่ราชพัสดุบนพื้นที่ 500 ไร่ ในอำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ในการครอบครองของกรมเจ้าท่าแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ส่งหนังสือเพื่อขอพื้นที่คืน โดยให้นโยบายไปว่าควรพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ ตามนโยบายของรัฐบาล เพราะที่ดินแปลงดังกล่าวมีทัศนียภาพดีมาก มีท่าเรือสามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยว เนื่องจากพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ มีจุดเด่นอยู่บริเวณแม่น้ำ 2 สี คือแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกัน ดังนั้นหากพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยว และมีกิจกรรมการท่องเที่ยวทางเรือเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ เช่น บึงบอระเพ็ด ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-ศาลเจ้าแม่ทับทิม ศาลเจ้าที่มีอายุเก่าแก่ ซึ่งเป็นสถานที่ชาวนครสวรรค์ให้ความเคารพ จะสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่ได้ และสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนในระยะยาว
นอกจากนี้ยังได้หารือถึงการเพิ่มศักยภาพ พื้นที่โครงการศูนย์กระจายสินค้าชุมชนและพืชผลทางการเกษตร ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ในระยะแรกมีพื้นที่ดำเนินการแล้ว 16 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ส่งคืนมาให้กรมธนารักษ์ มีทั้งตัวอาคาร และที่ดิน จึงมีแนวคิดให้ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เข้าไปพัฒนาพื้นที่ และมอบให้กับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เข้ามาบริหารงานแทน โดยเบื้องต้นจากการหารือกับ อ.ต.ก. คาดว่าจะพัฒนาให้เป็นตลาดกลางผลไม้และพืชผลทางการเกษตรตามฤดูกาล เพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าเกษตรของทุกภูมิภาค
สำหรับความคืบหน้า ในการพัฒนาศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจรในพื้นที่ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 48 ไร่ ซึ่งอยู่ในการครอบครองของกรมกิจการผู้สูงอายุ ขณะนี้ถูกปล่อยทิ้งให้เสื่อมโทรม ในขณะที่พื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพสูง เนื่องจากติดชายทะเล จึงเร่งให้กรมธนารักษ์ไปดำเนินการทำแผนพัฒนาที่ดินในแปลงดังกล่าวให้กลับมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเป็นศูนย์ฝึกอบรมอาชีพในการดูแลผู้สูงอายุ หรือศูนย์เรียนรู้ของผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุจากทั่วประเทศเข้ามาฝึกอบรมสร้างทักษะความรู้ในด้านต่างๆ