![บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยอาจขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลก จาก 3 ปัจจัยกดดัน แนะทยอยสะสมอีกครั้งหากดัชนีต่ำกว่า 1,300 จุด]()
กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
บล.ทิสโก้ชี้
หุ้นไทยอยู่ในช่วงหาสมดุลใหม่ และอาจปรับขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลกอีกสักระยะ จาก 3 ปัจจัยกดดัน คือ กำไรบจ.ต่ำกว่าคาด การเมือง
สหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้น ขณะที่การเมืองไทยยังอึมครึม และ
เศรษฐกิจโลกอาจชะงักอีกครั้ง แนะทยอยเข้าซื้อหุ้นเมื่อดัชนีต่ำกว่า 1,300 จุด
นาย
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า
บล.ทิสโก้มองว่าปัจจุบัน
หุ้นไทยอยู่ในช่วงการปรับฐานหาสมดุลใหม่ และมีแนวโน้มเคลื่อนไหว “Underperform” หรือปรับขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลกอีกสักระยะ โดยมี 3 ปัจจัยเสี่ยงกดดันตลาดอยู่ ได้แก่ 1. ประมาณการกำไรของตลาด
หุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลงอีก โดยจากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวน 133 หลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วน 76% ของมูลค่าตลาดรวมหุ้นสามัญทั้งหมดในตลาด คาดจะมีกำไรสุทธิรวมเพียง 9.01 หมื่นล้านบาท ลดลง 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ตาม หากนับตั้งแต่เริ่มต้นประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/2563 จนถึงปัจจุบัน พบว่าบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 4.12 หมื่นล้านบาท น้อยกว่าตลาดคาดแล้ว 14% หลัก ๆ มาจากกลุ่มแบงก์ เช่น BBL และ KBANK ที่มีการตั้งสำรองฯ เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจในอนาคต และอาจเห็นนักวิเคราะห์ในตลาดหั่นประมาณการกำไรลงอีก เนื่องจากกำไรในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้คาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 35% ของประมาณการกำไรในปีนี้ สะท้อนประมาณการกำไรในปัจจุบันอาจยังอยู่ในระดับสูงอยู่
ปัจจัยเสี่ยงที่กดดันตลาดประเด็นที่ 2 คือ การเมืองระหว่าง
สหรัฐฯ - จีนที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดี
สหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะใช้ประเด็นโจมตีจีนในการเพิ่มคะแนนเสียงให้กับตัวเองอย่างเข้มข้นขึ้น ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงอึมครึม ซึ่ง
บล.ทิสโก้คาดว่าการปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 2/2” จะเกิดขึ้นภายในต้นเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากจะช่วยลดแรงกดดันภายในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว น่าจะทำให้การทำงานของรัฐบาลรวมทั้งข้าราชการกลับมาเดินหน้าได้ตามปกติ
“สำหรับการเมืองไทยมีมีประเด็นที่แนะนำให้ติดตาม คือ 1. ผลงานรัฐบาลหลังปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุมัติโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายใต้กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท และการเร่งรัดโครงการลงทุนภาครัฐต่างๆ เพราะจะเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไป 2. การพิจารณางบประมาณปี 2564 ในวาระที่ 2 และ 3. การชุมนุมทางการเมืองโดยเฉพาะเมื่อครบกำหนดการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้” นายอภิชาติกล่าว
3. การฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจโลกต่อจากนี้อาจหยุดชะงักหรืออ่อนแอลง เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมากำลังทยอยหมดลง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกถัดไปอาจล่าช้าหรือไม่เพียงพอ ประกอบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกสองในหลายประเทศ อาจทำให้ต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
นายภิชาติกล่าวอีกว่า จากประเด็นข้างต้นจึงแนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะซื้อหุ้นช่วงที่ดัชนี
หุ้นไทยลงมาต่ำกว่าระดับ 1,300 จุด เน้นลงทุนในหุ้นงบดีมีปันผลจ่ายระหว่างกาล เช่น CPF, DCC, SMPC และ TVO รวมทั้งหุ้นบางตัวที่ตลาดมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น เช่น AP, CPF, DCC และ PRM เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่
บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน สิงหาคมคือ AP, CPF, DCC, PRM, SMPC และ TVO ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,300 -1,305 จุด แนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,250 - 1,280 จุด แนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,350 จุดโดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,380 -1,390 จุด