GCAP ปรับทัพธุรกิจใช้เทคโนโลยีคัดคุณภาพลูกหนี้ ลั่นคุม NPL ห้ามเกิน 5% เผย Q2/63 มีรายได้ 84.16 ลบ. กำไรสุทธิ 7.71 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 7, 2020 14:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ส.ค.--ไออาร์ พลัส GCAP ปรับแผนการดำเนินธุรกิจช่วงที่เหลือของปีนี้ ใช้เทคโนโลยีคัดคุณภาพลูกหนี้ ลั่นคุม NPL ไม่ให้เกิน 5% เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ภายในประเทศ ล่าสุดบริษัทร่วมทุนได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก “สบายใจบิวตี้” พร้อมลุยธุรกิจสินเชื่อต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับไตรมาส 2/63 งบการเงินเฉพาะกิจการ มีรายได้รวม 84.16 ล้านบาท กำไรสุทธิมี 7.71 ล้านบาท ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 นายสเปญ จริงเข้าใจ กรรมการและผู้จัดการ บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP กล่าวว่า งบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส 2/63 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 84.16 ล้านบาท ลดลง 5.74 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.4 โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของรายได้จากสิทธิเรียกร้องภายใต้สัญญาเช่าซื้อทรัพย์สินจำนวน 4.38 ล้านบาท เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อลดลงในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของกำไรสุทธิมีจำนวน 7.71 ล้านบาท ลดลง 14.85 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 65.8 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 8.58 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าลดลง 3.81 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 8.08 ล้านบาท ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มยอดการปล่อยสินเชื่อ เช่น ค่าส่งเสริมการตลาด ค่าบุคลากร ค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้นำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) และฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า (TFRS 16) มาปฏิบัติ ให้เป็นมาตรฐาน นายสเปญ กล่าวอีกว่า เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพธุรกิจการปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯ จึงต้องพิจารณาในงบการเงินเฉพาะกิจการ เนื่องจากในงบรวมไตรมาสนี้ มีการบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้าที่ยังไม่ดำเนินธุรกิจใดๆ เข้ามาแสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียในงบรวมเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ "สบายใจมันนี่" ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท 9F International Holding PTE. LTD ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก “สบายใจบิวตี้” ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมเนื่องจากได้รับผลจากการล็อคดาวน์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะพันธมิตรของบริษัทอยู่ประเทศจีน ไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้อย่างปกติ แต่บริษัทฯยังมีความมั่นใจในความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจการปล่อยสินเชื่อให้สอดรับกับโลกยุคดิจิทัล และคาดจะเห็นความชัดเจนในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ปี 2563 “ช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดการจัดเก็บค่างวดบางส่วน ในช่วงล็อคดาวน์ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ถึง กลางเดือนมิถุนายน บริษัท จึงมีการปรับโครงสร้างการทำงาน ในส่วนของการบริหารจัดเก็บหนี้ และเปลี่ยนแปลงกระบวนการการทำงาน โดยบริษัทได้มีการทดลองและประเมินผลในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้ในการบริหารจัดเก็บหนี้ โดยนำ AI และ DATA มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการพักชำระหนี้ที่จะหมดลงในเดือนตุลาคมนี้” นายสเปญ กล่าว อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทฯ ได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว อีกทั้ง บริษัทได้มีแผนการปรับลดค่าใช้จ่าย เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของบริษัท และมีนโยบายควบคุมตัวเลขหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ไว้ไม่เกิน 5%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ