![เห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทยคุณสมบัติตอบโจทย์คนรักสุขภาพและผู้สูงวัย สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร]()
กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--
กรมวิชาการเกษตร เพื่อ
เกษตรกร
กรมวิชาการเกษตร วิจัยสำเร็จ
เห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทย คุณสมบัติโดดเด่นให้สารสำคัญด้านสุขภาพบำรุง
สมองดีต่อหัวใจ รองรับสังคมสูงวัยและกลุ่มรักสุขภาพ ปรุงเป็นอาหารกลิ่นไม่คาว เนื้อกรุบกรอบไม่เปื่อยยุ่ย
ลุยถ่ายทอดเทคโนโลยีเพาะ
เห็ดสร้างรายได้เพิ่มให้
เกษตรกรกว่า 3,000 บาท / แปลง
นางสาว
เสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดี
กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในแต่ละปีประเทศไทยนำเข้า
เห็ดร่างแหชนิดอบแห้งไม่ต่ำกว่า 6,500 ตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาทจากประเทศจีน ซึ่งมีการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีการเพาะ
เห็ดร่างแหอย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่า 80 ปี ในขณะที่หลายประเทศพยายามพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะ
เห็ดร่างแห เพราะเป็น
เห็ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญมากมายหลายชนิด ดังนั้น
เห็ดร่างแหจึงเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการในปริมาณมาก
ในปี 2559–2563 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสงขลา สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 ได้ศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะ
เห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทยที่เหมาะสมในพื้นที่ภาคใต้ภายใต้แนวคิดเป็น
เห็ดสายพันธุ์ใหม่ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยบำบัดโรค ที่สำคัญสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้แก่
เกษตรกร และลดปริมาณการนำเข้าจากต่างประเทศได้ด้วย โดยได้ดำเนินการสำรวจ รวบรวม จำแนกสายพันธุ์ คัดเลือก
เห็ดร่างแหที่ให้ผลผลิตสูง ศึกษาวิจัยเทคโนโลยีการเพาะที่เหมาะสม ได้แก่ การผลิตเชื้อขยาย การผลิตเชื้อเพาะ วัสดุเพาะที่เหมาะสมต่อการเกิดดอก และการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ
อธิบดี
กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีการเพาะ
เห็ดร่างแหพบว่า
เห็ดหลินจือเป็นวัสดุผลิตเชื้อขยายที่ดี ทำให้เส้นใยเจริญได้ดี มีความหนาแน่นมาก และใช้ระยะเวลาบ่มเชื้อน้อยเพียง 30 วัน ส่วนสูตรอาหารที่เหมาะสมสำหรับการผลิตเชื้อเพาะ คือ สูตรที่มีส่วนผสมของขี้เลื่อยไม้ยางพารา:รำละเอียด:ปูนขาว:ดีเกลือ:ยิปซัม อัตรา 90:5:1:2:2 ซึ่งใช้เวลาบ่มเชื้อเพียง 32 วัน และวัสดุเพาะที่เหมาะสมต่อการเกิดดอก คือสูตรที่มีส่วนผสมของใบไผ่และกิ่งไผ่:แกลบดิบ:ขุยมะพร้าว อัตรา 50:25:50 ทำให้การพัฒนาตุ่มดอกจนเก็บผลผลิตครั้งแรกใช้เวลาเฉลี่ย 27- 35 วัน
การวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของดอก
เห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทยพบมีกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี ซิลิเนียม สังกะสี ซึ่งมีส่วนป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งลำไส้ กลุ่มสารสำคัญที่มีส่วนช่วยกระบวนการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม รวมทั้งกลุ่มสารสำคัญที่มีส่วนช่วยกระบวนการทำงานของ
สมองด้านการเรียนรู้และการจดจำ ได้แก่ เหล็ก วิตามิน B9 และวิตามิน B12
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสงขลา ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะ
เห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทยไปสู่
เกษตรกรทั้งวิธีการเพาะในตะกร้าซึ่งให้ผลผลิตสูงสุด 794 กิโลกรัมต่อตะกร้าเพาะ เพาะแบบวิธีขึ้นชั้นให้ผลผลิตเฉลี่ยสูง 3,170 กรัม และเพาะในแปลงให้ผลผลิตประมาณ 2 กิโลกรัม รวมทั้งได้จัดทำแปลงขยายผลร่วมกับวิสาหากิจชุมชนสวนลุงวร อ.ควนเนียง จ.สงขลา เพื่อให้
เกษตรกรสามารถประยุกต์ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่เพาะ
เห็ดร่างแหเพื่อบริโภคในครัวเรือนและเป็นรายได้เสริมอาชีพหลัก โดยได้ผลผลิตเฉลี่ย 5 – 7 กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 500 บาท ทำให้
เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3,500 บาทต่อแปลงเพาะ โดยมีต้นทุนการผลิต 850 บาท/แปลงเพาะ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์จาก
เห็ดทั้ง
เห็ดร่างแหชนิดสด และ
เห็ดร่างแหชนิดแห้ง โดยเมื่อนำไปแปรรูปเป็นอาหาร
เห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทยจะมีความกรุบกรอบของเนื้อสัมผัส และไม่เปื่อยยุ่ง กลิ่นไม่คาว ซึ่งเป็นเอกลักณ์เฉพาะตัวต่างจาก
เห็ดร่างแหที่นำเข้าจากจีนหากต้มเป็นระยะเวลานานเนื้อ
เห็ดจะเปื่อยและยุ่ย
“
เห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทยมีกลุ่มสารสำคัญซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีส่วนช่วยกระบวนการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและ
สมอง มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคในด้านเป็นอาหารบำรุงสุขภาพและบำบัดโรคเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยและกลุ่มผู้รักสุขภาพ ในส่วนของวัสดุที่เหมาะสมต่อการเกิดดอกเมื่อผ่านกระบวนการเก็บผลผลิตแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุปลูกให้แก่พืชผักได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากมีอินทรียวัตถุและสารอาหารที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ หากสนใจเทคโนโลยีการเพาะ
เห็ดสายพันธุ์ไทยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสงขลา โทร.0-7458-6725” อธิบดี
กรมวิชาการเกษตร กล่าว