กรุงเทพฯ--13 ส.ค.--อินโดรามา เวนเจอร์ส
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล บริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2563
สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2563
ไอวีแอลรายงานกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) อยู่ที่ 305 ล้านเหรียญสหรัฐ และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน จำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรหลักสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 82 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 50 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 สภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 0.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีเครดิตที่ยังไม่ได้ใช้อีกจำนวน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ กำไรหลักจากการดำเนินงานตามปกติต่อหุ้น (Core EPS) อยู่ที่ 0.43 บาทต่อหุ้น เติบโตจาก 0.25 บาทต่อหุ้นในไตรมาสแรก
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 นี้ขับเคลื่อนจากความต้องการ PET ที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรของธุรกิจ Integrated PET ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนแปรสภาพที่ลดลง ปริมาณความต้องการเส้นใยเพื่อสุขอนามัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการกลับสู่สภาพปกติของการปิดชั่วคราวในธุรกิจ PO/MTBE ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563
การดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของธุรกิจ MTBE และ Integrated EG เนื่องจากการสูญเสียความได้เปรียบของ shale gas เมื่อเทียบกับผู้ผลิตที่ใช้แนฟทา ธุรกิจเส้นใยในกลุ่มยานยนต์และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ได้รับผลกระทบอย่างมากจากมาตรการล็อคดาวน์ ที่ส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือนในสินค้าคงทนลดลง รวมทั้งข้อจำกัดการข้ามแดน ราวร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์ของเราตอบสนองต่อกลุ่มสินค้าที่ไม่คงทน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบต่ออุปสงค์จากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ
กลุ่มผลิตภัณฑ์ของไอวีแอลที่รองรับตลาดอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ได้รับผลบวกในช่วงของการระบาดใหญ่ของไวรัส ในขณะที่ผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานด้านอิเลคทรอนิกส์และฟิล์มสำหรับหน้าจออยู่ในระดับคงที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมีการปรับตัวลดลงอย่างมาก และเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นการปิดกิจการของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งส่งผลต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของบริษัทฯ
การเข้าซื้อกิจการ Spindletop และการเริ่มดำเนินงานของโรงงานก๊าซแครกเกอร์ใน Lake Charles ไม่ได้สร้างผลกำไรตามแผนงานธุรกิจที่วางไว้ แต่ด้วยงบการเงินที่แข็งแกร่ง และความเหมาะสมทางกลยุทธ์ของธุรกิจโอเลฟินส์ที่มีก๊าซเป็นวัตถุดิบ ช่วยส่งเสริมการควบรวมธุรกิจ MEG ตามกลยุทธ์ของบริษัท และที่สำคัญการเข้าสู่ธุรกิจที่มีการเติบโตทั้งสารลดแรงตึงผิว เชื้อเพลิงเขียว และยูรีเทน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจของเรามีความหลากหลาย สร้างการเติบโตในระยะยาว
บริษัทฯ คาดการณ์ว่าผลประกอบการหลังจากนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ปี 2563 จากการกลับมาเปิดอีกครั้งของเศรษฐกิจโลก การผ่อนผันมาตรการล็อคดาวน์ และการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ การลงทุนของบริษัทฯในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในธุรกิจที่เป็นผู้นำตลาดโลก ประกอบกับความมุ่งมั่นในการเติบโตและสร้างความหลากหลายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อการเติบโตในระยะยาว ส่งผลให้ค่าตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลอดทั้งวัฏจักร ในขณะเดียวกันเรายังคงมุ่งเน้นการสนับสนุน ส่งเสริม และใช้ประโยชน์จากธุรกิจหลักอย่าง PET ที่รีไซเคิลได้อย่างต่อเนื่อง
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าว “ในช่วงที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์มีความผันผวน เรามีความพึงพอใจที่ร้อยละ 80 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรารองรับตลาดในกลุ่มสินค้าที่ไม่คงทนถาวร ซึ่งอุปสงค์ยังคงแข็งแกร่ง และมีส่วนในการเติบโตของกำไรและสภาพคล่อง เห็นได้จากปริมาณการขายและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจที่เหลืออีกร้อยละ 20 เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัว อันเนื่องมาจากการผ่อนปรนมาตรการล็อคดาวน์และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวดีขึ้น ผมมองเห็นโอกาสอย่างมากมาย และหวังว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และกลุ่มธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ เรายังคงยึดมั่นในยุทธศาสตร์การดำเนินงานใน 5 ด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนราว 350 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2566 และ 44 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2563) การใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพ การเติบโตในธุรกิจข้างเคียงที่น่าสนใจ การสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจรีไซเคิล PET และความเข้มแข็งและพัฒนาผู้นำในองค์กร
ในข่วงครึ่งหลังของปีนี้ เราเชื่อมั่นในโมเดลทางธุรกิจที่มีฐานการผลิตทั่วโลก ประกอบกับลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่นทางอุปสงค์ ส่งผลให้เรายังคงจัดจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มั่นคง”
เกี่ยวกับ อินโดรามา เวนเจอร์ส
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Bloomberg ticker IVL.TB) เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก มีโรงงานผลิตครอบคลุมภูมิภาคหลักทั่วโลก ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย ยุโรปและอเมริกา โดยมีกลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจ Integrated PET ธุรกิจโอเลฟินส์ ธุรกิจเส้นใย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) ผลิตภัณฑ์ของไอวีแอลรองรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคล และอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางในรถยนต์และผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานทั่วโลกราว 24,000 คนและมีรายได้จากการขายรวม 11.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 บริษัทฯ เป็นสมาชิกดัชนีดาวโจนส์ (DJSI) และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยและมีโรงงานทั่วโลก อันได้แก่
ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา: เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี เดนมาร์ก ลิทัวเนีย โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ลักเซมเบิร์ก สเปน ตุรกี ไนจีเรีย
แอฟริกา: กานา โปรตุเกส อิสราเอล อียิปต์ รัสเซีย สโลวาเกีย ออสเตรีย บัลกาเรีย
อเมริกา: สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก แคนาดา บราซิล
เอเชีย: ไทย อินโดนีเซีย จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ ออสเตรเลีย