กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--ที เอส ฟลาวมิลล์
บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL ผู้ผลิตแป้งสาลีรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 63 สุดแกร่งโชว์กำไรสุทธิ 67.25 ล้านบาท เติบโต 43.7% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้เผชิญหลายปัจจัยทั้งวิกฤติโรคระบาด COVID-19 -ต้นทุนข้าวสาลีพุ่ง -การแข่งขันราคาสูงขึ้น -ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ยังสามารถมีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 73.76%
นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) TMILL ผู้ผลิตแป้งสาลีรายใหญ่ของประเทศไทยและมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 67.25 ล้านบาท เติบโต43.7% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ46.80 ล้านบาท ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะเผชิญความท้าท้ายจากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือCovid-19 รวมทั้งภาวะการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาจำหน่ายแป้งสาลีและรำข้าวสาลีเฉลี่ยลดลง 5.0% และ 13.7% อีกทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ มีการปรับลดราคาจำหน่ายแป้งสาลีลง ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีรายได้จากการขายในงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยที่รายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีลดลง 2.0% และรายได้จากการจำหน่ายรำข้าวสาลีลดลง 1.2%
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราต้นทุนขายใน 6 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 3.9% และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนของข้าวสาลีที่ใช้ในปี 2563 นี้ถูกกว่าปี 2562 เนื่องจากปัจจัยด้านราคาข้าวที่มีการทำสัญญาซื้อตั้งแต่กลางปีก่อน ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงปลายปีก่อน โดยมีการใช้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยใน 6 เดือนแรกของปี2563 อยู่ที่ 73.76% เพิ่มขึ้น 1.10% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนว่าบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ไม่มากนัก
ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 7.66 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากค่าขนส่งสินค่าที่ลดลงตามราคาน้ำมัน ค่าเช่าตามสัญญาระยะยาวที่มีการปรับไปอยู่ในต้นทุนทางการเงินบางส่วน และการปรับประมาณการสวัสดิการให้กับพนักงาน
สำหรับผลประกอบการ ไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 23.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาท หรือ 7.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2562 มีผลกำไรสุทธิ 22.11 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการใช้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 71.06% เพิ่มขึ้น 1.16% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน