กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
'บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN’ ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล โชว์ผลงานสุดแกร่ง ทำกำไรสุทธิในไตรมาส 2/63 ได้ 85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% ดันภาพรวมครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท เติบโต 20% รับปัจจัยเชิงบวกจาก COVID-19 หนุนความต้องการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์สำเร็จรูปทั้งในและต่างประเทศเพิ่ม พร้อมเสริมประสิทธิภาพด้านการบริหาร ทั้งในด้านบริหารจัดการลูกหนี้และค่าใช้จ่าย ด้านบอร์ดอนุมัติแผนการย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเข้าSET ในปีนี้แน่นอน
คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือJKNผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากลเปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 (เมษายน-มิถุนายน 2563) บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี จากความต้องการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพื่อนำไปออกอากาศผ่านทุกช่องทาง ส่งผลให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 4% หรือคิดเป็น 464.3 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 445.9 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธินั้นมีอัตราขยายตัวแบบก้าวกระโดด จากการบริหารจัดการด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ดี ช่วยสนับสนุนกำไรสุทธิในไตรมาสนี้สูงถึง 85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 69.9 ล้านบาท
นอกจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นแล้ว บริษัทฯ ยังบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการบริหารจัดการต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ที่ดี ช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 44% ดีกว่าเป้าหมายที่จะทำกำไรขั้นต้นในอัตรา 40% จึงส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2563) ทำกำไรสุทธิได้ 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท และมีรายได้รวม 916 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 869 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของเราในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปีนี้ สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งสะท้อนถึงขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี และจากแผนงานของ JKN ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เราพร้อมมุ่งมั่นขยายธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันเป้าหมายการดำเนินงานให้เติบโตได้ตามแผน” คุณจักรพงษ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้มีนโยบายเร่งรัดการการบริหารลูกหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้จัดเก็บหนี้คงค้างจากเดิมต้นปี ที่มีลูกหนี้การค้าประมาณ 1,816 ล้านบาท ลดลงเหลือ ณ สิ้นสุดเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 1,747 ล้านบาท จนถึง ณ วันที่ 14 สิงหาคม บริษัทฯได้รับชำระหนี้คงค้างจากลูกหนี้ เพิ่มเติมอีก 284 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 มีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงกระดาน
ซื้อขายหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย บริษัทฯ จะดำเนินการจัดทำเอกสารเพื่อยื่นแก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคาดว่าหากได้รับการอนุมัติแล้วจะกำหนดวันที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป