กรุงเทพฯ--26 ส.ค.--นิวเวฟ มาร์เก็ตติ้ง เน็ตเวิร์ค
ธุรกิจจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อพนักงานเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมการทำงานแบบผสมผสานที่เกิดขึ้นจากเชื้อ COVID-19 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการจัดซื้อและใช้งานโซลูชันระบบเครือข่ายของฝ่าย IT
สำหรับการรับมือต่อภัยโรคระบาดนี้ ผู้นำทางด้าน IT ก็ได้ลงทุนเพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบ Cloud, ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและรับประกันคุณภาพเครือข่าย, ระบบประมวลผลที่ Edge และระบบเครือข่ายแบบ AI ให้สอดคล้องกับแผนการกู้คืนธุรกิจที่เริ่มมีความชัดเจน ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้เป็นผลมาจากการสำรวจผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้าน IT ทั่วโลก (IT decision-makers : ITDMs) กว่า 2,400 รายที่ได้รับการสนับสนุนโดยอรูบ้า (Aruba) บริษัทหนึ่งในเครือฮิวเล็ตต์แพ็คการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์
เมื่อผู้นำทางด้าน IT ได้ตอบสนองต่อความท้าทายหลายประการจากการทำให้พนักงานสามารถทำงานจากคนละสถานที่อย่างสิ้นเชิงและการเกิดขึ้นของสถานที่ทำงานแบบผสมผสาน ซึ่งผู้คนต้องการที่จะทำงานได้จากทั้งภายในบริษัท, ที่บ้าน และระหว่างเดินทางได้ ผู้นำทางด้าน IT เหล่านี้ก็ต้องมองหาวิธีการที่ปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายให้มีวิวัฒนาการต่อไปและเปลี่ยนจากการลงทุนในรูปแบบ CapEx ไปสู่โซลูชันที่สามารถใช้งานในรูปแบบ 'as a service’ ได้แทน โดยอัตราส่วนเฉลี่ยของการใช้บริการทางด้าน IT ในรูปแบบ Subscription นั้นจะเติบโตขึ้นอีก 38% ภายในระยะเวลา 2 ปีนับถัดจากนี้ จากปัจจุบันที่ทั่วโลกมีสัดส่วน 34% จากการลงทุนด้าน IT ทั้งหมดสัดส่วน 46% ภายในปี พ.ศ. 2565 ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ก็จะมีการเติบโตจากสัดส่วน 35% เป็น 48% ซึ่ง ณ เวลานั้น สัดส่วนขององค์กรที่มีการใช้งานโซลูชัน IT ในรูปแบบ 'as a service’ เป็นส่วนใหญ่ของการลงทุนเกิน 50% ก็จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 72% แสดงให้เห็นว่าโซลูชัน IT ในรูปแบบ 'as a service’ เติบโตเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนทั่วโลกหรือ APAC ก็ตาม
จากการเกิดขึ้นของสถานที่ทำงานแบบผสมผสาน ผู้นำทางด้าน IT ในสิงคโปร์ได้ถูกร้องขอให้นำเสนอทั้งความยืดหยุ่น ความมั่นคงปลอดภัยและในค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ Edge อย่างสมดุล
“ เป็นที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าในการตอบรับต่อความต้องการที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT จะให้ความสนใจในการลดความเสี่ยงลงและความได้เปรียบด้านค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในรูปแบบ Subscription ถึงแม้ว่าองค์กรที่ถูกสำรวจในสิงคโปร์กว่า 85% (77% สำหรับการสำรวจจากทั่วโลก) จะชะลอหรือเลื่อนโครงการออกไปจากการมาของ COVID-19 แต่ธุรกิจก็ยังคงมีความมั่นคงและเริ่มมองหาวิธีการที่จะยังคงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ธุรกิจเหล่านี้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในระบบเครือข่ายแบบ Cloud (38%), ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและรับประกันคุณภาพเครือข่าย (42%), ระบบประมวลผลที่ Edge (40%) และเทคโนโลยี AI สำหรับระบบเครือข่าย (28%)” Justin Chiah ผู้อำนวยการอาวุโส ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ไต้หวัน และฮ่องกง/มาเก๊า (SEATH) ของอรูบ้า (Aruba) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฮิวเล็ตต์แพ็คการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์ กล่าว
ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้ที่ได้ทำการสำรวจผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้าน IT มากกว่า 20 ประเทศใน 8 อุตสาหกรรมหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองของผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจเหล่านี้ต่อความต้องการทางด้าน IT และธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการมาของ COVID-19, การตัดสินใจด้านการลงทุนที่เกิดขึ้นในฐานะของผลลัพธ์จากการตอบสนองนี้ และรูปแบบการลงทุนที่ได้รับการพิจารณา ซึ่งมีผลการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้:
ผลกระทบจาก COVID-19 มีนัยยะสำคัญเป็นอย่างมาก
ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT (ITDMs) ระบุว่าผลกระทบจาก COVID-19 ส่งผลเป็นอย่างมากกับทั้งพนักงานและการลงทุนระยะสั้นด้านระบบเครือข่าย
22% ระบุว่ามี 'ผลกระทบอย่างมาก’ ต่อพนักงาน (ทั้งการพักงานหรือการปลดพนักงานจำนวนมาก) ในขณะที่ 52% ระบุว่ามี 'ผลกระทบปานกลาง’ (มีการลดการทำงานบางส่วนชั่วคราว) และมี 19% ที่ระบุว่ามี 'ผลกระทบน้อย’ (มีเพียงไม่กี่ตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบ)ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT (ITDMs) ในอินเดีย (57%) และในบราซิล (34%) เป็นกลุ่มใหญ่ที่ระบุว่าพนักงานได้รับผลกระทบอย่างมาก ในขณะที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT ในฮ่องกง (12%) และในเม็กซิโก (10%) เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมากเป็นส่วนน้อย แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในแต่ละภูมิภาค78% ของตลาดในภูมิภาค APAC ระบุว่าการลงทุนในโครงการด้านระบบเครือข่ายถูกเลื่อนหรือดำเนินการช้าลงจากการมาของ COVID-19 และ 27% ระบุว่าโครงการในลักษณะนี้ถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิงการยกเลิกโครงการทั่วตลาด APAC เกิดขึ้นสูงสุดในอินเดีย (37%) และเกิดขึ้นน้อยที่สุดในออสเตรเลีย (17%) แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมากสำหรับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ในขณะที่ 37% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT ในอุตสาหกรรมด้านการศึกษาและ 35% ในอุตสาหกรรมโรงแรมและที่พักอาศัยทั่วโลกระบุว่าได้ยกเลิกการลงทุนด้านระบบเครือข่าย
อนาคตยังสดใส: ลงทุนตอบสนองความต้องการใหม่ที่เกิดขึ้น
ในทางกลับกัน สำหรับแผนการณ์ในอนาคตได้ถูกวางแผนอย่างแข็งขัน โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT ส่วนใหญ่กำลังวางแผนเพื่อที่จะลงทุนเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นสำหรับระบบเครือข่ายท่ามกลางวิกฤต COVID-19 เนื่องจากพวกเขาต้องสนับสนุนตอบรับความต้องการใหม่ๆ ของพนักงานและลูกค้า
ด้วยสัดส่วนทั่วโลกกว่า 38% ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจนี้ จะเพิ่มการลงทุนในระบบเครือข่ายแบบ Cloud ในขณะที่ 45% จะยังคงลงทุนด้วยสัดส่วนเท่าเดิมและ 15% มีแผนลดการลงทุนลง ภูมิภาค APAC เป็นผู้นำด้วยสัดส่วนถึง 45% ที่ระบุว่าจะเพิ่มการลงทุนในระบบเครือข่ายแบบ Cloud โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT จากอินเดียเป็นผู้นำที่สัดส่วน 59% ซึ่งด้วยโซลูชัน Cloud ที่เปิดให้มีการบริหารจัดการเครือข่ายขนาดใหญ่ได้จากระยะไกลนี้ ความสามารถเหล่านี้ถือเป็นที่ดึงดูดสำหรับฝ่าย IT เป็นอย่างมาก ในขณะที่โซลูชันแบบ On-Premises นั้นไม่สามารถตอบโจทย์หรือความท้าทายที่ต้องเผชิญได้ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT ยังคงมองหาเครื่องมือที่ดีขึ้นสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์ระบบเครือข่าย โดยสัดส่วน 34% จากทั่วโลกมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในระบบวิเคราะห์ข้อมูลและรับประกันคุณภาพเครือข่าย, 48% ระบุว่าจะยังคงลงทุนด้วยสัดส่วนเท่าเดิม และ 15% ระบุว่าจะลดสัดส่วนการลงทุนลง ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้ฝ่าย IT สามารถแก้ไขปัญหาและปรับแต่งระบบเครือข่ายเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการระบบเหล่านี้มีการเติบโตยิ่งขึ้นจากการที่พนักงานทำงานจากคนละสถานที่อย่างสิ้นเชิงให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีนวัตกรรมที่จะช่วยให้ฝ่าย IT มีชีวิตที่ง่ายขึ้นด้วยการเปลี่ยนงานที่ต้องทำซ้ำๆ ให้เป็นระบบอัตโนมัติ พบว่า 35% ของผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้าน IT (ITDMs) ทั่วโลกมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีด้าน AI สำหรับระบบเครือข่าย โดยภูมิภาค APAC มีสัดส่วนสูงสุดที่ 44% (ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้าน IT 60% จากอินเดียและ 54% จากฮ่องกง)
เลือกใช้แนวทางการลงทุนรูปแบบใหม่ที่กำลังเติบโต
เมื่อผู้มีอำนาจตัดสินใจทางด้าน IT (ITDMs) ได้วางแผนการลงทุนเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พวกเขาก็มองหาทางเลือกในวิธีการลงทุนรูปแบบใหม่เพื่อให้เกิดความสมดุลสูงสุดระหว่างคุณค่าและความยืดหยุ่น
59% ในสิงคโปร์ระบุว่าพวกเขาจะมองหาการลงทุนรูปแบบ Subscription ใหม่สำหรับฮาร์ดแวร์และ/หรือซอฟต์แวร์ โดย 61% เลือกพิจารณา Managed Services สำหรับโซลูชันฮาร์ดแวร์และ/หรือซอฟต์แวร์แบบสำเร็จรูปครบวงจร และ 34% เลือกพิจารณาการเช่าซื้อ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในรูปแบบทางการเงินที่ยืดหยุ่นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความท้าทายรูปแบบการเช่าใช้ระบบเครือข่ายแบบ Subscription ได้รับความนิยมสูงขึ้นใน APAC (61%) ซึ่งสูงกว่าในอเมริกา (52%) หรือ EMEA (50%) และประเทศที่มีความนิยมสูงสุดนั้นได้แก่ตุรกี (73%), อินเดีย (70%) และจีน (65%)อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะพิจารณาการใช้ Subscription มากที่สุดคือโรงแรมและที่พักอาศัย (66%), เทคโนโลยีและโทรคมนาคม (58%) และการศึกษา (57%) ผลกระทบจาก COVID-19 ที่มีต่อพฤติกรรมของฝ่าย IT ได้ทำให้เกิดความต้องการในการลงทุนที่ยืดหยุ่นและสามารถทำนายได้ รวมถึงความต้องการในการลดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนจัดซื้อเริ่มต้นนั้นสูงขึ้นจากที่ผ่านมาในทางกลับกัน มีเพียงสัดส่วน 8% จากทั่วโลกเท่านั้นที่ยังคงมีแผนการลงทุนในแบบ CapEx ทั้งหมด โดยมีสัดส่วนสูงสุดในเนเธอร์แลนด์ (20%), สหรัฐอเมริกา (17%), สเปน (16%) และฝรั่งเศส (15%) ซึ่งหากเทียบจากอุตสาหกรรมแล้ว 15% ของอุตสาหกรรมค้าปลีก, จัดจำหน่าย และขนส่งจะยังคงลงทุนในแบบ CapEx ทั้งหมด ในขณะที่มีเพียง 5% ของอุตสาหกรรม IT, เทคโนโลยี, การศึกษา และโทรคมนาคมเท่านั้น และในธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัยมีเพียง 2%
“ด้วยความต้องการของลูกค้าและพนักงานที่ต้องการเปลี่ยนแปลงหลากหลายแง่มุมในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ไม่เป็นที่แปลกใจที่จะเห็นผู้นำทางด้าน IT มองหาโซลูชันที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พวกเขาถูกผลักดันให้ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและต้องมั่นใจว่าระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อนและกระจายตัวขึ้นนี้จะยังคงสร้างประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานต้องการได้อย่างมั่นคงปลอดภัย ความต้องการในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้อย่างคล่องแคล่วและยืดหยุ่นนี้มีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยจากผลสำรวจทั่วโลกก็ได้แสดงให้เห็นว่า 58% ของผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้าน IT ในภูมิภาค APAC จะพิจารณาโซลูชันแบบ Managed Service ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 53% เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจในภูมิภาค APAC มองอนาคตในทางที่ดี” Chiah กล่าว
แม้ว่าภัยจากโรคระบาดนี้จะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อโครงการต่างๆ ในหลากหลายระดับ งานวิจัยนี้ก็ได้แนะนำว่าผลกระทบเหล่านี้ก็จะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการลงทุนในระยะกลางสำหรับเทคโนโลยีระบบเครือข่ายที่ล้ำหน้ายิ่งขึ้น และเปลี่ยนไปสู่รูปแบบการลงทุนที่ยืดหยุ่นยิ่งขึ้นซึ่งจะสามารถจำกัดการลงทุนในช่วงแรกเริ่มได้ แนวโน้มที่เคยเกิดขึ้นในสัดส่วนที่คงที่นั้นจะเริ่มเติบโตขึ้น รวมถึงการย้ายไปสู่ระบบ Edge และการใช้งานระบบเครือข่ายที่ชาญฉลาดแบบ Cloud และมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) คอยช่วยเหลือด้วย