กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--บลจ.กสิกรไทย
บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุน K-GA และ K-USXNDQ-A(D) รวมมูลค่ากว่า 140 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกที่ยังคงผันผวน แนะนำผู้ลงทุนให้กระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต และควรประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน ผู้ลงทุนรอรับปันผลพร้อมกัน 14 ก.ย.นี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย จ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-USXNDQ-A(D)) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 2กองทุนมีกำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 กันยายน 2563 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 147.16 ล้านบาท
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ภาวะตลาดเงินตลาดทุนในปัจจุบันยังคงมีความผันผวนจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ในหลายประเทศยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปได้ช้ากว่าที่คาด ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงอันเกิดจากความผันผวน ทั้งนี้ กองทุน K-GA มีนโยบายที่เน้นกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก โดยผู้จัดการกองทุนหลักจะปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งกองทุนมีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้ง รวมแล้วทั้งสิ้น 19 ครั้ง เป็นเงิน 6.40 บาทต่อหน่วย และในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.76% ต่อปี ตลอดจนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 14.86% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 63)
สำหรับกองทุน K-USXNDQ-A(D) มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยมุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง NASDAQ-100 ซึ่งกองทุนมีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่จัดตั้ง รวมทั้งสิ้น 28 ครั้ง เป็นเงิน 8.95 บาทต่อหน่วย และในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.65% ต่อปี ตลอดจนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 53.47% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 63) นอกจากนี้ กองทุนยังมีผลการดำเนินงานที่ดีจนติดอันดับ Overall Morningstar Rating 5 ดาว (ที่มา: Morningstar ณ 31 ส.ค. 63)
“จากความคืบหน้าของพัฒนาการผลิตวัคซีน COVID-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวเข้าสู่ระดับราคาสูงสุดเท่าที่เคยมีมา (All Time High) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีในไตรมาสที่ 2 มีอัตราการเติบโตในระดับต่ำที่ 0.1% ประกอบกับดัชนี S&P 500 ได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนี NASDAQ-100 มีระดับราคาซื้อขายที่สูงมาก ทั้งนี้ หากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย อาจทำให้ผู้ลงทุนเปลี่ยนกลุ่มหุ้น (Sector Rotation) มาหาหุ้นในกลุ่มอื่นที่ยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่ค่อนข้างมากแทน โดยจะเริ่มเห็นได้จากแรงขายทำกำไรเป็นระยะๆ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องในตลาดที่มีอยู่สูง ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับให้อัตราเงินเฟ้อมีความยืดหยุ่น และสามารถดีดตัวขึ้นเหนือ 2% ได้ สะท้อนได้ว่าดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีก เพื่อสนับสนุนตลาดแรงงานและให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่อาจกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนเป็นระยะ ตลอดจนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้” นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนปรับลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุน K-USXNDQ-A(D) ส่วนกองทุน K-GA แนะนำให้ประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน ทั้งนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่รับความผันผวนได้สูง และยังต้องการลงทุนเพิ่ม สามารถลงทุนได้ผ่าน App K PLUS, K-My Funds และธนาคารกสิกรไทย ตลอดจนผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยเริ่มต้นได้เพียง 500 บาท และสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888