กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--เวิรฟ พับบลิค รีเลชั่นส์ คอนซัลแตนท์ซี
เทนเซ็นต์ คลาวด์ กลุ่มธุรกิจคลาวด์ภายใต้เทนเซ็นต์ ผู้นำบริการด้านอินเตอร์เน็ตของโลก ตอกย้ำศักยภาพระบบ “ไฮบริด มัลติคลาวด์” ในฐานะกุญแจสำคัญในการเร่งกระบวนการปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาตระหนักถึงความสำคัญของระบบปฏิบัติการณ์คลาวด์ว่าเป็นกลไกหลักในขับเคลื่อนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัล รวมถึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมเผยการวางแผนกลยุทธ์ “ไฮบริด มัลติคลาวด์” จะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการปริมาณงานบนภูมิทัศน์ระบบไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังช่วยพัฒนาความสามารถการรองรับการปรับขนาดองค์กร (Scalability) และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจมีความคล่องตัวมากขึ้น (Agility) จากคำแนะนำของผลสำรวจ IDC InfoBrief ที่เทนเซ็นต์ คลาวด์ได้มอบหมายให้ไอดีซี (IDC) เป็นผู้จัดทำเกี่ยวกับเรื่องดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน แพลตฟอร์ม
ระบบ “ไฮบริด มัลติคลาวด์” หมายถึงการทำงานแบบผสมผสานระหว่างระบบไพรเวทคลาวด์ (Private Cloud) และระบบพับลิกคลาวด์ (Public Cloud) ซึ่งเป็นบริการจากบุคคลที่สามสำหรับการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยหลักแล้วจะใช้ระบบแบบผสมผสานนี้เพื่อช่วยถ่ายโอนปริมาณงานไปมาระหว่างคลาวด์ทั้ง 2 ระบบได้อย่างคล่องตัว ข้อมูลจาก IDC เปิดเผยว่า ระบบไฮบริด มัลติคลาวด์ จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักสำหรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ระบบดิจิทัล โดยภายในปี 2564 ธุรกิจทั่วโลกกว่าร้อยละ 90 จะต้องพึ่งพาการใช้ระบบปฏิบัติการณ์คลาวด์แบบผสมผสานทั้งแบบไพรเวทคลาวด์ พับลิกคลาวด์จากผู้ให้บริการต่างๆ และแพลตฟอร์มแบบดั้งเดิม (Legacy Platform) เพื่อตอบสนองความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละองค์กรที่ต้องการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบดิจิทัล
มร. ชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัวและเข้าสู่ภาวะถดถอย ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักที่เกิดขึ้น 'การปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัลจะช่วยองค์กรต่างๆ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางยุค New Normal เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ระบบปฏิบัติการคลาวด์ระดับเวิล์ดคลาสในตลาดประเทศไทยและอาเซียน จึงมุ่งนำเสนอโซลูชันคลาวด์แบบไฮบริดที่พร้อมใช้งานได้ทั่วโลก ช่วยสร้างเสถียรภาพด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่น พร้อมด้วยโซลูชันอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรม และทุกธุรกิจในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
องค์กรต่างๆ เดินหน้าสู่การใช้งานคลาวด์เพื่อเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัล เทนเซ็นต์ คลาวด์มีข้อแนะนำ 3 ประการ สำหรับองค์กรที่ต้องการสร้าง “ดิจิทัล คลาวด์ แพลตฟอร์ม” เพื่อให้สามารถสร้างระบบดิจิทัล คลาวด์ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนี้
โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่เพิ่มขยายหรือปรับลดได้ (Scalable Cloud Infrastructure) การวางโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่สามารถปรับขนาดได้ในอนาคตจะช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการเพิ่มหรือลดจำนวนทรัพยากรตามความต้องการ ช่วยเร่งกระบวนการการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เกิดความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และความปลอดภัยแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน (Agile Distribution Platform) ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงระบบได้จากทุกที่ โดยองค์กรสามารถตรวจสอบและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพระบบเอดจ์คอมพิวติ้งอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกัน (Connected Edge Intelligence) ช่วยปรับปรุงระบบประมวลผลข้อมูลพร้อมสร้างเกราะกำบังด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการเข้าสู่ข้อมูลภายในองค์กร
มร.วิลเลียม ลี Research Director จากไอดีซี กล่าวว่า “การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในแบบไฮบริด มัลติคลาวด์ (Hybrid Multicloud Digital Platform) จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และขับเคลื่อนการสร้างรายได้ในรูปแบบใหม่ผ่านความร่วมมือ และการสร้างสรรค์ นำเสนอสิ่งใหม่ๆ ร่วมกันกับพันธมิตรในระบบนิเวศนั้นๆ ในขณะที่องค์กรต่างๆ ได้เริ่มทำงานบนสภาพแวดล้อมแบบระบบไฮบริด มัลติคลาวด์ ที่สามารถทำงานประสานกันระหว่างคลาวด์จากหลากหลายแห่ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่องค์กรจะต้องเลือกสรรผู้ให้บริการคลาวด์ที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อมารองรับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล”
“ผู้ให้บริการคลาวด์จำเป็นต้องเสริมสร้างศักยภาพของตนเอง เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ในการนำระบบไฮบริด มัลติคลาวด์มาใช้ ขณะเดียวกันลูกค้าก็จำเป็นต้องมองหาตัวเลือกที่ให้ความยืดหยุ่นจากระบบคลาวด์แบบกระจายตัว (Distributed Cloud) ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ดังเช่นเทนเซ็นต์ คลาวด์ ที่มีทั้งพับลิกคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร และเอดจ์คอมพิวติ้ง (Edge) โดยความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนควบคุมการ และจัดการปริมาณงานอย่างทั่วถึงทั้งกระบวนการทำงานด้านไอที เพื่อผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ และก้าวสู่การเป็น 'ดิจิทัล เอ็นเตอร์ไพรส์’ ในยุค New Normal ได้อย่างเต็มรูปแบบ” มร.ชาง กล่าวสรุป
คุณสามารถดาวน์โหลด IDC Infobrief: Building the Digital Cloud Platform: Are you ready to transform your digital business? ฉบับเต็มได้ที่นี่ http://bit.ly/idcreleaseTH