กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--ก.ล.ต.
ก.ล.ต. พร้อมสนับสนุนนโยบายภาครัฐ ตามที่ ศบศ. เห็นชอบหลักการปรับปรุง Smart Visa ให้เชื่อมโยงกับการลงทุน เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ คาดจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REIT และเตรียมขอความร่วมมือบริษัทจดทะเบียนให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ credit term
ตามที่การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบศ.) เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 ได้สรุปสาระสำคัญของการประชุมที่เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (Permanent Resident Permit) และแนวทางการปรับปรุงมาตรการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) ให้เชื่อมโยงกับการลงทุน อาทิ การซื้ออาคารชุดและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน ผู้บริหาร และผู้ประกอบการวิสาหกิจ รวมถึงเห็นชอบข้อเสนอแนะการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา (credit term) ในประเทศไทย เพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SMEs ที่เป็นผู้จัดส่งสินค้าและวัตถุดิบ การผลิตแก่ธุรกิจขนาดใหญ่ นั้น
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “มาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยช่วยให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ สามารถขยายฐานผู้ลงทุนต่างประเทศเพิ่มได้ อีกทั้ง มาตรการดังกล่าวยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ REIT ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ราคาตลาดของกองทุนดังกล่าวสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงมากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีราคากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ REIT ลดลงเฉลี่ย 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน
นอกจากนี้ การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา credit term ยังช่วยให้กลุ่มธุรกิจ SMEs มีสภาพคล่องมากขึ้นและสามารถลดภาระในการหาสินเชื่อเพิ่มได้ โดย ก.ล.ต. จะขอความร่วมมือจากบริษัทจดทะเบียนให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ credit term ซึ่งอาจเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีต่อไป”