กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงหลังของเดือน ก.ย. ยังคงอยู่ที่ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทั้งการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาในวันที่ 19 ก.ย. และการประชุมสภาในวันที่ 23-24 ก.ย. ว่าจะมีการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ และในมาตราใด ในขณะเดียวกันการเมืองในต่างประเทศก็มีแนวโน้มดุเดือดมากขึ้น ทั้งการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สถานการณ์ตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน และความไม่แน่นอนของผลการเจรจา Brexit ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ ความผันผวนของราคาน้ำมันล่าสุดในช่วงต้นเดือนนี้ นอกจากจะกดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีแล้ว ยังกดดันความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ด้วยและเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจซ้ำเติมให้การหั่นประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยยังไม่สิ้นสุดลง อิงจากการศึกษาความสัมพันธ์ในอดีตเราพบว่า ทุก ๆ ราคาน้ำมันดิบบาเรน์น้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ที่เปลี่ยนแปลง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกันประมาณ 10 จุด และภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกว่า 2,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (SET EPS) ที่ประมาณ 30 สตางค์ต่อหุ้น
อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้ยังคงมุมมองโซนดัชนีหุ้นไทยที่บริเวณ 1,250-1,280 จุดเป็นระดับดัชนีที่น่าทยอยซื้อสะสม “เพื่อการลงทุน” ซึ่งอิงมาจาก 1. ระดับค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (12 m Fwd. PER) ที่ปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 16-17 เท่า จากเดิมประมาณ 15-16 เท่าในช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งจะได้ดัชนีที่เหมาะสมในช่วง 3 เดือนข้างหน้า หรือในไตรมาส 4/2563 ที่ 1,221-1,297 จุด และควรจะอยู่สูงกว่าระดับ 1,300 จุดขึ้นไปในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า และ 2. การพักตัวทางเทคนิคตามหลัก "Fibonacci Retracement" โดยปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยกำลังมีแนวโน้มพักตัวที่ระดับ 38.2% หรือคิดเป็นระดับดัชนีที่ที่ 1,269 จุด
ทั้งนี้ สำหรับโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะหลุดต่ำกว่าระดับ 1,250 จุดลงมาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,200 จุดต้นๆ บล.ทิสโก้มองว่ายังมีความเป็นไปได้น้อยอยู่ ยกเว้นการชุมนุมทางการเมืองมีความรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด และ/หรือเกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 ภายในประเทศ จนทำให้รัฐบาลต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง
ด้วยภาวะตลาดมีแนวโน้มแกว่งซึมลง ขณะที่มูลค่าซื้อขายถดถอยลงเรื่อย ๆ จึงเชื่อว่าจะเห็นการโยกเม็ดเงินเวียนกลุ่มลงทุนไปเรื่อย ๆ เรามองหุ้นที่น่าสะสม “เพื่อการลงทุน” จะเน้นหุ้นที่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด (Laggard) แต่แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวขึ้น หุ้นเด่นที่ชอบ คือ AEONTS, BAM, BDMS, BEM, CPALL, KTC, MTC และ WHA และทยอยเก็บหุ้นปันผลที่คาดจะให้อัตราเงินปันผล (Div. Yield) เฉลี่ยมากกว่า 4% ต่อปี แนะนำ DCC, EASTW, INTUCH, LH, QH, NYT, PROSPECT, RATCH และ TVO (หมายเหตุ : PROSPECT กลุ่มทิสโก้เป็นที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดจำหน่าย)
สำหรับประเด็นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้นได้แก่ 1. หุ้นรับอานิสงส์ข่าววัคซีนและการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ (STV) ได้แก่ AOT, BDMS, CENTEL และ SPA 2. หุ้นเก็งประเด็น Window Dressing – BCH, BGRIM, BJC, CBG, EPG, GULF และORI และ 3. หุ้นที่ประเมินเบื้องต้นว่างบ 3Q20F จะออกมาดีทั้ง YoY และ QoQ – BGC, DELTA, KCE, KTC, MTC, PRM และ SYNEX