JCKออกวอร์แรนท์แจกฟรีผู้ถือหุ้นอัตรา 2 ต่อ 1 ราคาแปลงสิทธิ 2 บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการใหม่ด้านการให้บริการระบบสาธารณูปโภคครบวงจร ทั้งไฟฟ้า ประปา บำบัดน้ำเสีย รวมทั้งนำไปชำระคืนหนี้บางส่วน แถมรับข่าวดีจากการที่รัฐบาลผ่อนผันอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาในประเทศได้ทำให้ลูกค้าที่ได้เข้ามาเจรจาซื้อที่ดินนิคมทีเอฟดีก่อนโควิด 19 ระบาดสามารถเข้ามาทำธุรกรรมต่อได้
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหารและประธานกรรมการ บริษัท เจซีเคอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือ JCK เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 คณะกรรมการบริษัทได้มีมติออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 6 หรือวอร์แรนท์ JCK W-6 เพื่อให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญต่อ 1 วอร์แรนท์ โดยไม่คิดมูลค่าคิดเป็นจำนวน 1,073,517,239 หน่วย กำหนดราคาใช้สิทธิ 2 บาทต่อหุ้น ระยะเวลาการใช้สิทธิ 2 ปี ซึ่งเมื่อผู้ถือหน่วยใช้สิทธิจะทำให้บริษัทได้รับเงินสดจำนวน 2,147 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการแปลงสิทธิไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่บริษัท จ่ายชำระหนี้และที่สำคัญจะนำไปใช้ในการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัทด้านการให้บริการระบบสาธารณูปโภคครบวงจร ทั้งไฟฟ้า น้ำประปา น้ำดิบที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม การบำบัดน้ำเสีย สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคนี้บริษัทเห็นว่า เป็นโครงการที่สำคัญที่จะทำรายได้อย่างมากให้แก่บริษัทในอนาคต โดยบริษัทได้ให้บริษัทลูกเป็นผู้รับผิดชอบโครงการและได้เตรียมทีมงานไว้พร้อมแล้ว
นายอภิชัยยังได้กล่าวต่อไปว่า ในช่วงนี้นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 ค่อนข้างได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมากโดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีนและไต้หวัน ถึงแม้ว่านักลงทุนจะไม่สามารถเข้ามาในประเทศได้ก็ตาม แต่ก็ได้มีการประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนท์กันเป็นระยะๆ นอกจากนี้เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ยังมีข่าวดีที่สำคัญคือ รัฐบาลได้ออกประกาศอนุญาตให้คนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางมาในประเทศไทยที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำสามารถเข้ามาในประเทศไทยได้แล้ว โดยยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ซึ่งการที่รัฐบาลได้ออกประกาศผ่อนคลายให้คนต่างด้าวเข้ามาในประเทศได้นี้ จะทำให้นักลงทุนที่มีความประสงค์ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสามารถที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อเจรจาธุรกิจได้ถึงแม้ว่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคก็ตาม สำหรับบริษัทเองก็จะมีนักลงทุนที่พร้อมจะเดินทางเข้ามาเจรจาธุรกิจกับบริษัทในชุดแรกนี้หลายรายซึ่งส่วนใหญ่จะเข้ามาซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 ยอดรวมประมาณ 100 ไร่เพื่อสร้างโรงงาน ส่วนทางด้านโรงงานสำเร็จรูปและอาคารคลังสินค้าก็ได้มีการทำ MOU ซื้อขายกับนักลงทุนไปแล้วประมาณ 50,000 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท คาดว่าน่าจะทำสัญญาซื้อขายได้ภายในเดือนตุลาคมนี้
นายอภิชัยได้กล่าวเพิ่มเติมต่อไปว่า ในปีนี้นอกจากการรับรู้รายได้จากนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและอาคารคลังสินค้าแล้ว บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจคอนโดมิเนียมโครงการ Artizan ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท ขายไปแล้วกว่า 80% บริษัทคาดว่าภายในปีนี้จะสามารถโอนให้แก่ลูกค้าได้ไม่น้อยกว่า 50% ของยอดขาย และประมาณการว่าจะขายได้หมดไม่เกินไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 และปิดโครงการได้ภายในปี 2564